พันธุ์อะโวคาโด







พันธุ์อะโวคาโด
พันธุ์อะโวคาโดที่รสชาติดีนั้น เป็นพันธุ์ที่มี เปอร์เซ็นต์ไขมันค่อนข้างสูง ถึงสูง โดยพันธุ์ แฮส (Hass) มีไขมัน ประมาณ 18-25% เฟอร์เต้ (Fuerte) มีน้ำมัน 14-18% และพันธุ์ บัคคาเนีย มีน้ำมัน 12-14% ช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวจะมีผลต่อปริมาณไขมันมาก โดยผลอะโวคาโดที่อายุมากขึ้นจะสะสมไขมันมากขึ้นตามลำดับ

พันธุ์แฮส (Hass)
ใบแหลมเรียว ใบออกห่าง ๆ กัน ผลรูปแพร์ ผิวขรุขระมาก ผิวสีเขียวเข้ม เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ ผลมีขนาดเล็กน้ำหนักประมาณ 200-300 กรัม เนื้อสีเหลือง เมล็ดเล็กถึงขนาดกลาง เปลือกผลค่อนข้างหนา ทนทานต่อการขนส่ง พันธุ์นี้ยังมีข้อดีอีกประการคือ เมื่อผลแก่แล้ว ก็ยังสามารถเลี้ยงอยู่บนต้นได้อีกนานหลายเดือน ช่วงเก็บเกี่ยวผลเดือนธันวาคม –กุมภาพันธ์ มีไขมันสูงมาก คือ ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า เป็นพันธุ์การค้าอันดับ 1 ของโลก พันธุ์นี้ผลมีราคาแพงมากที่สุด แต่ให้ผลดีในที่อากาศเย็น พื้นที่ปลูกที่เหมาะสมควรสูงจากระดับน้ำทะเล 600 เมตรขึ้นไป ระยะปลูกที่แนะนำคือ 8×8 เมตร

บูช 7 (Booth-7)
ใบใหญ่เป็นมัน ผลค่อนข้างกลมป้าน ขนาดประมาณ 3 ผลต่อกิโลกรัม ผิวผลค่อนข้างขรุขระ สีเขียว เปลือกหนา เนื้อสีเหลืองอ่อน เมล็ดขนาดกลาง เมื่อสุกผลมักจะตกกระ มีไขมัน 7-14 เปอร์เซ็นต์ ช่วงเก็บเกี่ยวผลประมาณวันที่ ตุลาคม ถึง ธันวาคม อายุ 5 ปี 249 ผลต่อต้น พันธุ์นี้ให้ผลผลิตดก ลำต้นขนาดใหญ่ ค่อนข้างทนต่อโรค แต่ผลรสชาติปานกลาง

ปีเตอร์สัน (Peterson)
เป็นพันธุ์เบา ให้ผลผลิตก่อนพันธุ์อื่น ๆ คือประมาณเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม ลักษณะผลกลม ใบเรียงซ้อนกันถี่ ๆ และเป็นมัน ใบอ่อนสีแดง ผลมีลักษณะกลม

เฟอร์เต้ (Fuerte)
ลำต้นขนาดใหญ่ และแผ่กว้าง ผลรูปแพร์ ผิวขรุขระเล็กน้อย ผิวสีเขียวเข้ม เนื้อสีเหลืองครีม เมล็ดขนาดกลาง น้ำหนักผลประมาณ 150-300 กรัม รสชาติดีมาก แต่ค่อนข้างอ่อนแอต่อโรค เปลือกผลบางทำให้ไม่ทนทานต่อการขนส่ง ชอบอากาศเย็น แต่ไม่หนาว อากาศร้อนหรือหนาวเกินไปจะทำให้การออกดอกน้อยและไม่สม่ำเสมอ เป็นพันธุ์กลุ่ม B ควรปลูกพันธุ์กลุ่ม A ร่วมด้วยเพื่อเพิ่มการติดผล ช่วงเก็บเกี่ยวผลเดือนตุลาคม – ธันวาคม เป็นพันธุ์การค้าของโลก รอง ๆ จากพันธุ์ แฮส
 
บัคคาเนีย (Buccaneer)
ผลมนรี ผลมีขนาดใหญ่ ถึง 3-4 ผลต่อกิโลกรัม ใบกว้างผิวใบไม่มัน ยอดเขียว ผลแก่จะเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลือง ผลดก ดูแลง่าย ขนาดต้นใหญ่และแผ่กว้าง ระยะปลูกที่แนะนำคือ 10×10 เมตร

พิงค์เคอร์ตัน (Pinkerton)
ขนาดต้นค่อนข้างเล็ก ใบเรียวยาว และจะสั้นกว่าพันธุ์ Hass ผลผิวขรุขระ ผลแก่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวเข้ม รสขาติมัน เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง ใกล้เคียงพันธุ์ Hass แต่มีข้อดีคือ ผลใหญ่กว่าแฮส และเมล็ดมีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักผลประมาณ 3 ผลต่อกิโลกรัม ผลดก สามารถปลูกในพื้นที่สูงน้อยกว่าพันธุ์ Hass คือประมาณ 300-400 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และขนาดต้นที่เล็ก ทำให้จำนวนต้นที่ปลูกต่อไร่มีมากกว่า พันธ์ุนี้มีข้อด้อยกว่าพันธุ์แฮส ตรงที่ผลแก่ไม่สามารถเลี้ยงอยู่บนต้นได้นานเท่าแฮส ทำให้ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวค่อนข้างสั้น
 
A.034 (A034) อะโวคาโดชนิดนี้ มีถิ่นเกิดหรือถิ่นกำเนิด จากประเทศเวียดนาม โดยเกิดจากการผสมเกสรข้ามสายพันธุ์ระหว่างอะโวคาโดสายพันธุ์ชื่อ HASS กับอะโวคาโดสายพันธุ์ชื่อ RUSSELL , ผลมีขนาดใหญ่มาก น้ำหนักเฉลี่ยระหว่างครึ่งกิโลกรัมต่อผล รูปทรงของผลแปลกกว่าผลอะโวคาโดทั่วไปคือ “ผลยาว” ดูเหมือนกับผลแตงกวาญี่ปุ่น ผิวผลขรุขระเล็กน้อย รสชาติเนื้อในหวานมันคล้ายเนื้อของอะโวคาโดพันธุ์ HASS แต่จะให้ความรู้สึกถึงความมันที่เข้มข้นกว่าอโวคาโดพันธุ์ HASS มากกว่าด้วย นอกจากต้นจะเตี้ยแล้วยังมีดอกและติดผลได้เร็วมากคือ หลังปลูกประมาณ 2–3 ปีเท่านั้น ช่วงเก็บเกี่ยวผลประมาณเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม แต่อะโวคาโดพันธุ์นี้สามารถให้ผลได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะนอกฤดูช่วงเดือน กพ-เมษา จะเริ่มมีผลนอกฤดูออกมา

TA21 (TA21) อะโวคาโดชนิดนี้ มีถิ่นเกิดหรือถิ่นกำเนิด จากประเทศเวียดนาม 


การสังเกตและเก็บเกี่ยวผลอะโวคาโด
โดยธรรมชาติแล้วอะโวคาโด จะไม่สุกบนต้น แต่จะสุกหลังจากที่เก็บเกี่ยวผลออกจากต้นแล้ว ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งหมายความว่า หลังจากเก็บผลจากต้นแล้ว เราต้องทิ้ง หรือบ่ม อะโวคาโดไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1 สัปดาห์ก่อนนำมารับประทาน
การเก็บ ผลอะโวคาโด ที่อ่อนเกินไป นอกจากจะมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันน้อยแล้ว ยังทำให้ ไม่สามารถบ่มอะโวคาโดให้สุกได้ คือผลอาจจะเน่าไปเลยโดยที่ยังไม่สุก ดังนั้นเกษตรกรควรมีหลักในการสังเกตุเพื่อเก็บผลผลิตที่แก่เพียงพอ นอกจากนี้ เรายังสามารถ ทิ้งผลอะโวคาโด ที่แก่ ให้อยู่บนต้นได้อีกระยะหนึ่ง หากเก็บไม่ทัน หรือต้องการรอเวลา แต่ทั้งนี้ ขึ้นกับแต่ละสายพันธุ์ด้วย
การเก็บผลต้องให้ขั้วผลติดกับผลด้วย เพราะหากขั้วผลหลุดจากผล จะทำให้ผลเสียหายง่ายขณะบ่มให้สุก วิธีหนึ่งในการตรวจสอบว่าผลอะโวคาโด พร้อมเก็บเกี่ยวหรือไม่ ให้เก็บผลจากจุดต่าง ๆของต้น มา 6-8 ผล จากนั้น ผ่าผลเพื่อดูเยื่อหุ้มเมล็ด หากเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีน้ำตาลทั้งหมด แสดงว่าผลแก่พร้อมเก็บเกี่ยวได้ ทั้งนี้ต้องระวังด้วยว่า อะโวคาโด อาจมีการออกดอก 2 ชุด ทำให้ผลในต้นเดียวกัน แก่ไม่เท่ากัน ควรตรวจสอบจากลักษณะผลภายนอกด้วย ตามข้อมูลในตารางด้านล้างนี้
สายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว อายุผล
 

สายพันธุ์ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวอายุผล (วัน)*ลักษณะผล
1. ปีเตอร์สัน (Peterson)มิถุนายน – กรกฎาคม160ผลที่แก่และขั้วผลเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเขียวปนเหลือง เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 22.2%
2. บูช-7 (Booth 7)กลางกันยายน – ตุลาคม170ผลที่แก่จะมีนวลที่ผิวผล สีผิวผลเป็นสีเขียว เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 14.8%
3. บูช-8 (Booth 8)กันยายน – ตุลาคม177ผลที่แก่จะมีนวลที่ผิวผล สีผิวผลเป็นสีเขียว เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 16.5%
4. บัคคาเนีย (Buccaneer)กลางกันยายน – กลางตุลาคม180 – 187ผลที่แก่จะมีนวลที่ผิวผล สีของผลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล มีน้ำหนักแห้ง 17.0%
5. พิงค์เคอตัน (Pinkerton)ตุลาคม – ธันวาคม309ผลที่แก่ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวเข้ม มีน้ำหนักแห้ง 30.0%
6. แฮส (Hass)พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์242 – 250ผลที่แก่ผิวผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มเป็นสีม่วงปนเขียว มีน้ำหนักแห้ง 24.7-29.0%

หมายเหตุ * อายุผลหลังจากดอกบาน 50 เปอร์เซ็นต์ของช่อดอก

  • ข้อมูลจากเวปไซต์ โครงการหลวง
วิธีการบ่มอะโวคาโดให้สุก
เมื่อเราเก็บ อะโวคาโด จากต้นแล้ว จำเป็นต้องมีการบ่มเพื่อให้สุก ก่อนรับประทาน การบ่มนั้นทำได้ง่ายๆ โดยการทิ้งผลไว้ที่อุณหภูมิห้อง แต่หากต้องการเร่งให้ผลสุกเร็วขึ้น ให้ใส่ผลอะโวคาโดในถุงกระดาษสีน้ำตาล แล้วปิดปากถุง หากไม่มีก็ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ แล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง ระยะเวลาอาจเพียงแค่ 1 คืน หรือหลายวัน ขึ้นกับอะโวคาโดแต่ละผล การทดสอบว่าผลสุกหรือยัง ให้ลองเอามือบีบผลเบา ๆ ถ้าผลบีบได้ ก็แสดงวาสุก หรืออีกวิธีให้กดบริเวณขั้วผลเบา ๆ ถ้ากดได้แสดงว่าสุก
หากผลสุกแล้วให้นำผลอะโวคาโด แช่ตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ไม่ควรนำผลดิบที่ยังไม่สุกแช่ตู้เย็นเพราะอาจทำให้ผลไม่สุกแล้วเน่าไปเลยก็ได้

12 สมุนไพรจีน ช่วยบำรุงสุขภาพ

12 สมุนไพรจีน ช่วยบำรุงสุขภาพ

ตามไปซื้ออาหาร – สมุนไพรจีน มาทำเมนูอร่อยกัน


เม็ดเก๋ากี้
รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุเป็นกลาง บำรุงเลือด ไต และสายตา ช่วยให้ผมดำและบำรุงผิวพรรณ ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ใช้บำบัดผู้ที่ตับไตอ่อนแอ หญิงที่มีประจำเดือนผิดปกติ โลหิตจาง ตามัว และแก่ก่อนวัย
วิธีปรุง ชงน้ำดื่มแทนน้ำชา หรือ ใส่ลงในน้ำซุป ตุ๋น ใช้ครั้งละ 5-30 กรัม
ผู้ไม่ควรบริโภค เป็นหวัด ตัวร้อน อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ม้ามอ่อนแอ อุจจาระเหลว

ห่วยซัว
รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุเป็นกลาง ช่วยถอนพิษและบรรเทาอาการบวม มักใช้บำบัดอาการม้ามพร่อง ถ่ายอุจจาระเหลว ไอและมีเสมหะเนื่องจากโรคปอด บำรุงไต และใช้ได้ผลมากกับอาการอันเกิดจากโรคเบาหวาน เช่น กระหายน้ำ ซูบผอม หากเด็กมีอาการนอนไม่หลับเบื่ออาหารก็ให้รับประทานได้
วิธีปรุง
1. ห่วยซัวรสอร่อยไม่เลี่ยน ใส่ในซุปกินเป็นประจำจะช่วยบำรุงอวัยวะทั้งห้า
2.ห่วยซัว 100 กรัม บดเป็นผง ใส่เหล้าจีน 1 ช้อนโต๊ะ นำไปต้มในหม้อจนมีกลิ่นหอม ใส่เหล้าอีก 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน ดื่มตอนท้องว่าง
ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้ที่เป็นวัณโรคเกิดจากปัจจัยภายในพร่อง

อึ่งคี้หรือปั๊กคี้
รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุอุ่นเล็กน้อย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงเลือดลม ขับปัสสาวะและเสริมภูมิต้านทานโรค จึงใช้บำบัดอาการอ่อนล้า เหมาะสำหรับใช้เป็นยาบำรุงสำหรับคนชราและผู้มีร่างกายอ่อนแอ เพราะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำในร่างกาย และลดความดันโลหิต
วิธีปรุง
1.ใส่ผสมในน้ำซุปปลาหลีฮื้อน้ำแดงหรือซุปหอยนางรมอึ่งคี้ 2.ใส่ข้าวต้ม 3.ชงน้ำดื่มเป็นน้ำชา
2.อึ่งคี้ 20 กรัม พุทราจีน 10 ลูก ต้มน้ำดื่มวันละ 1 ชุด โดยต้มได้สองครั้ง ช่วยบำบัดอาการอ่อนล้า เป็นหวัดง่าย
ผู้ไม่ควรบริโภค มีอาการไอ เสมหะมาก มีไข้สูง แน่นท้อง ลิ้นมีฝ้าขุ่นหนา

ซัวเซียม
รสชาติและสรรพคุณ ประกอบด้วยแห้ง น้ำมันหอมระเหย อัลคาลอยด์ ช่วยบำรุงปอด แก้ไอขับเสมหะ ใช้บำบัดอาการไอเรื้อรัง เสมหะเป็นฟอง ซูบผอม ซึมเซา เสมหะมีเลือดปน
วิธีปรุง เป็นส่วนประกอบในอาหารประเภทตุ๋น และข้าวต้ม

เง็กเต็ก
รสชาติและสรรพคุณ ประกอบด้วยอัลคาลอยด์ กรดนิโคติน วิตามินเอ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงอวัยวะภายใน บำรุงหัวใจ
วิธีปรุง เป็นส่วนประกอบในอาหารประเภทตุ๋น และข้าวต้ม
ข้อควรระวัง กินเพียงเล็กน้อยจะช่วยให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่ถ้ากินมากเกินไปอาจมีผลร้ายได้

ลูกเคียมซิก
รสชาติและสรรพคุณ รสหวานอมฝาด มีธาตุเป็นกลาง สรรพคุณที่เด่นที่สุดคือ การบำรุงม้ามและขับน้ำในร่างกาย ระงับอาการน้ำอสุจิหลั่งเร็ว บำรุงม้าม แก้ท้องเดิน มักใช้บำบัดโรคหนองใน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
วิธีปรุง
1.ลูกเคียมซิกและแป๊ะฮะอย่างละ 60 กรัม ห่วยซัว 100 กรัม ต้มเป็นโจ๊กกิน ช่วยบำบัดอาการท้องเดินเรื้อรัง
2.ลูกเคียมซิก 30 กรัม เม็ดบัว 15 กรัม ต้มกับน้ำและปรุงรสด้วยน้ำตาลกินวันละ 2 ครั้ง ใช้บำบัดอาการตกขาว และน้ำอสุจิเคลื่อนบ่อย
3. ใช้เคียมซิกต้มเป็นซุปดื่ม แก้ปวดศีรษะ ปวดประสาท ปวดเมื่อยตามข้อกระดูก
ผู้ไม่ควรบริโภค เคียมซิกมีฤทธิ์ลดเหงื่อแรงมาก ผู้มีอาการปัสสาวะขัดและท้องผูกเป็นประจำไม่ควรกิน

แป๊ะฮะ
รสชาติและสรรพคุณ แป๊ะฮะขาวถือว่าดีที่สุด รสหวานอมขม มีธาตุเป็นกลาง ชุ่มปอด แก้ไอ ทำให้จิตใจสงบ มักใช้กับผู้ป่วยวัณโรค และแก้อาการนอนไม่หลับได้ผลดี
วิธีปรุง
1.นำแป๊ะฮะสด 200 กรัม ผสมน้ำผึ้ง ½ ถ้วย นึ่งให้นิ่ม อมจะช่วยให้ชุ่มคอ
2.แป๊ะฮะและลูกพุทราเปรี้ยวอย่างละ 50 กรัม ต้มน้ำดื่ม บำบัดอาการนอนไม่หลับ
ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้ที่ม้ามและกระเพาะพร่อง-เย็น ไม่ควรกิน

ตังกุย
รสชาติและสรรพคุณ รสหวานอมเผ็ด มีธาตุอุ่น บำรุงเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียน แก้ปวดประจำเดือน หล่อลื่นลำไส้ ระบายท้อง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายเหลืองซูบ ประจำเดือนขาด และแก้อาการบวมได้อีกด้วย
วิธีปรุง
1.ตังกุย 9 กรัม อึ่งคี้ 30 กรัมต้มน้ำดื่ม ต้มได้ 2 ครั้ง บำบัดโรคโลหิตจาง
2.ทำซุปน้ำข้นใส่ปลาไหล
ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้มีอาการปอดพร่อง ร้อนใน หรือเพิ่งหายจากการอาเจียนมีเลือดปนไม่ควรกิน และการกินตังกุยเป็นประจำจะทำให้มีอาการเจ็บคอและจมูกร้อนได้

โตวต๋ง
รสชาติและสรรพคุณ ส่วนเปลือกของต้นโตวต๋ง มีเจลาตินสีขาว ประกอบด้วยยางไม้สีขาว ไขมัน กรดอินทรีย์ รสหวาน มีธาตุอุ่น บำรุงตับ ไต กระดูก และเส้นเอ็น ลดความดันโลหิต บำรุงครรภ์ ป้องกันการแท้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ตับอ่อนแอ ปวดเมื่อยเอว
วิธีปรุง
1.ต้มกับเนื้อเพื่อบำรุงร่างกาย
2.โตวต๋ง 150 กรัม แช่ในเหล้าขาว 500 ซีซี เป็นเวลาครึ่งเดือน ดื่มครั้งละ 30 ซีซี วันละ 2 ครั้งบรรเทาอาการไตพร่องและหูอื้อ
ผู้ไม่ควรบริโภค ผู้ที่เลือดแห้งและร้อนใน ห้ามกิน

ตั้งเซียม
รสชาติและสรรพคุณ มีสรรพคุณคล้ายโสมจีน รสหวาน มีธาตุเป็นกลาง บำรุงพลังและม้าม ชุ่มปอด เพิ่มน้ำในร่างกาย ใจสั่น หายใจไม่เต็มปอด และท้องเดิน
วิธีปรุง ตั้งเซียม 20 กรัมพุทราจีน 10 ลูก ต้มน้ำจนสุก ใส่น้ำตาลพอประมาณ ดื่มแก้อาการอ่อนเพลีย

พุทราจีน
รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุอุ่น บำรุงม้าม ปรับกระเพาะอาหารให้สู่สภาวะสมดุล เสริมพลัง เพิ่มน้ำ บำรุงเลือด ลดไขมัน และต้านมะเร็ง มักใช้บำบัดอาการเบื่ออาหารเนื่องจากกระเพาะพร่อง หัวใจเต้นไม่ปกติ โรคไขมันในเลือดสูง และโรคตับ
วิธีปรุง
1.พุทราจีน 10-20 ลูก ตั้งเซียม 10 กรัม ต้มกินทั้งซุปและพุทราจีน บำบัดม้ามและกระเพาะพร่อง
2.พุทราจีน 10 ลูก รากผักขึ้นฉ่ายสด 10 ต้น ล้างให้สะอาดต้มเป็นซุป ลดคอเลสเตอรอล

เหง้าบัว
รสชาติและสรรพคุณ รสหวาน มีธาตุเย็นจัด เหง้าบัวสุกใช้บำรุงม้าม ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงโลหิต เสริมสร้างกล้ามเนื้อ แก้อาการท้องเดิน
วิธีปรุง น้ำเหง้าบัวคั้น 1 ถ้วย กับน้ำสาลี่คั้น 1 ถ้วยผสมเข้าด้วยกันดื่มรักษาอาการไอ มีเสมหะข้น

อาหารและ สมุนไพรจีน ทั้ง 12 ชนิดนี้เป็นเพียงส่วนเสี้ยวจากชั้นอาหารและสมุนไพรจีนที่มีอีกกว่า 1,000 ชนิด ซึ่งทำให้นึกถึงความชาญฉลาดของชาวจีนโบราณที่เข้าใจธรรมชาติของร่างกายและสิ่งแวดล้อม จนคิดสูตรอาหารและเครื่องยาที่ใช้ทั้งบำรุงร่างกายและบำบัดโรคให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์กันเรื่อยมา

กินอาหารได้ยาบำรุงร่างกายได้อย่างไร
ตามประวัติอันยาวนานกว่า 3,000 ปีของอาหารเพื่อสุขภาพนั้น ชาวจีนเชื่อว่า “ยารักษาโรคและอาหารมีที่มาจากแหล่งเดียว ไม่มีเส้นแบ่งขอบเขตที่แน่นอนระหว่างยากับอาหาร” จากหนังสืออาหารเครื่องยาจีน ของ สำนักพิมพ์รีดเดอร์ ไดเจสท์ กล่าวถึงคำพูดของ นายแพทย์ซุนซือเหมี่ยวว่า “อาหารสามารถขจัดปัจจัยภายนอกช่วยปรับสภาพอวัยวะภายใน ทำให้จิตใจสงบ มีอารมณ์ดีและช่วยบำรุงพลังเลือด ผู้ที่สามารถใช้อาหารบำบัดโรคและบรรเทาอาการต่างๆ ถือว่าเป็นผู้มีความรู้อันประเสริฐ ดังนั้นในฐานะที่เป็นแพทย์ จึงต้องเข้าใจสมุฏฐานของโรค แล้วรักษาด้วยอาหาร ถ้าไม่ได้ผลจึงรักษาด้วยยา”

ซึ่งการใช้อาหารบำบัดโรคหมายถึง การอาศัยสารอาหารชนิดพิเศษที่มีอยู่ในอาหารมาประกอบกับวิธีการปรุงที่เหมาะสม เพื่อบำบัดโรค ซึ่งมีหลักการหลายประการ เช่น

ทฤษฏีหยิน-หยาง
คุณมานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทย เป็นผู้อธิบายให้เราฟังดังนี้ค่ะ “ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องดำรงหยิน-หยางให้คงไว้ในสภาวะสมดุล ร่างกายประกอบด้วยเนื้อเยื่อ โครงกระดูก เส้นผม เล็บ ซึ่งเป็นหยิน ส่วนหยางคือพลังงานของชีวิต ภายใต้สภาพปกติหยินหยางจะมีสภาวะสมดุลในลักษณะที่ตรงกันข้าม ก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังในร่างกายไปทั่วทุกจุด ถ้าปริมาณหรือลักษณะของตัวใดตัวหนึ่งเหลื่อมล้ำเกินไป ร่างกายจะผิดปกติ เช่นเมื่อใดที่หยางในร่างกายน้อย ทำให้การหมุนเวียนเลือดไม่ดี หน้าซีด ตัวเย็น แต่ถ้าหยางมากเกินไป จะทำให้ร้อนใน ผิวพรรณแห้ง อวัยวะภายในเป็นผังพืด หยิน หยาง ไม่สมดุลจุดไหน อวัยวะนั้นจะเกิดการอุดตันและเกิดโรคต่างๆ ตามมา” เมื่อพิจารณาจากอาการของโรคแล้ว เราสามารถจำแนกลักษณะโรคหยินและหยางได้ดังนี้

โรคหยาง เป็นโรคชนิดเฉียบพลัน มีลักษณะเดินหน้าและเพิ่มขึ้น มักปรากฏเป็นอาการไข้สูง จิตใจกระสับกระส่าย กระหายน้ำ ชอบกินของเย็น ท้องผูก ขัดเบา เป็นต้น

โรคหยิน เป็นโรคชนิดเรื้อรัง มีลักษณะถอยหลังและลดลง มักปรากฏเป็นอาการเย็นง่าย หนาวง่าย เซื่องซึม ไม่มีเรี่ยวแรง กินอาหารน้อยลง ท้องเดิน อุจจาระเหลว มือเท้าเย็น เป็นต้น

อาจารย์มานพยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า “สำหรับอาหารและเครื่องยาจีนแต่ละชนิดมีฤทธิ์เป็นหยินหยางอยู่แล้ว การกินให้ถูกหลักจึงสามารถช่วยปรับสมดุลของร่างกายได้” นอกจากนี้แพทย์แผนโบราณยังมีความรู้เรื่องอาหารว่ามีสรรพคุณและบำรุงร่างกายได้โดยการแบ่งย่อย ประกอบด้วย ธาตุทั้งสี่ และรสทั้งห้า รวมถึงปฎิกริยาขึ้น ลง ลอย จมของร่างกาย

การจำแนกตามธาตุอาหาร แพทย์จีนจำแนกธาตุอาหารหลากหลาย มีสรรพคุณแตกต่างกันดังนี้

อาหารที่มีธาตุเย็นและเย็นจัด ช่วยขับร้อน ถอนพิษ เช่น ข้าวเดือย แห้ว บวบ มะระ
อาหารที่มีธาตุร้อนและอุ่น ช่วยขจัดเย็น บำรุงส่วนที่พร่องของร่างกาย เช่น ขิงสด น้ำตาล ผักชี
อาหารที่มีธาตุเป็นกลาง ช่วยบำรุงม้าม ทำให้เจริญอาหาร เช่น ข้าวเหนียว ถั่วเหลือง น้ำมันงา
และแบ่งแยกเป็นรสทั้งห้า มีสรรพคุณแตกต่างกันและมีการแยกเป็นหยิน-หยาง

รสทั้งห้าของอาหาร
รสเผ็ด เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยระบาย ช่วยให้พลังเดิน ทำให้โลหิตไหลเวียน แก้ไข้ ปวดกระเพาะ ปวดรอบเดือน อาหารรสนี้ได้แก่ ขิง กระเทียม ฮวยเจีย กุ้ยพวย กานพลู
รสหวาน (รวมรสจืด) เป็นอาหารจำพวกหยาง ช่วยปรับโจงชี่ให้สมดุล มักใช้บำบัดม้ามและกระเพาะอ่อนแอ อาหารไม่ย่อย สตรีร่างกายอ่อนแอหลังคลอด ปวดตามกระดูกและเอว อาหารรสหวานได้แก่ พุทราจีน ลำไย
รสเปรี้ยว(รวมรสฝาด) เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยหยุดการหลั่งของเหลวและเพิ่มน้ำในร่างกาย มักใช้บำบัดอาการเหงื่อออกผิดปกติขณะหลับ ปัสสาวะบ่อย ม้ามพร่อง สตรีตกขาว ร้อนใน อาหารรสเปรี้ยวได้แก่ ลูกเคียมซิก เม็ดบัว ลูกบ๊วย
รสขม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยขับร้อน สลายชื้น ปรับสภาวะพลังย้อนกลับ มักใช้บำบัดอาการหวัดแดด เป็นไข้ ตามัว ดีซ่าน อาหารรสขมได้แก่ เก๋ากี้ ผักขม มะระ
รสเค็ม เป็นอาหารจำพวกหยิน ช่วยระบาย และขับของเหลวในร่างกาย บำรุงไต และเลือด มักใช้บำบัดอาการท้องผูก ฝี ตัวบวม ไตพร่อง ขาดเลือด อาหารรสเค็มนี้ได้แก่ สาหร่าย ปลิงทะเล


เหล่านี้คือความรู้ตามหลักโภชนาการของชาวจีน ซึ่งสามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ค่ะ



ข้อมูลเรื่อง ” 12 สมุนไพรจีน ช่วยบำรุงสุขภาพ” จากนิตยสารชีวจิต

ชิงเฮา จิงจูฉ่าย โกฐจุฬาลัมภา

ทั้งหมด เป็นวงศ์ Artemisia
- จิงจูฉ่าย Artemisia lactiflora ( White mugwort )
- ชิงเฮา Artemisia annua
- โกฐจุฬาลัมภาจีน (อ้ายเย่) Artemisia argue ( Mugwort)
- โกฐจุฬาลัมภา (ไทย) Artemisia vulgaris
- โกฐจุฬาลัมภาอินเดีย ( Dhavanam ) Artemisia pallens : ใช้ทำน้ำมันหอมทาตัว



จิงจูฉ่าย
ฝั่งอเมริกาเอง ปลูกจิงจูฉ่าย แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในแง่สมุนไพร ปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะดอกที่สวยงามของจิงจูฉ่ายนั่นเอง บางพื้นที่ มีการนำใบจิงจูฉ่ายมาประกอบอาหารแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่า Celery หรือ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง
ความที่จิงจูฉ่าย จัดอยู่ในยาเย็น มีความเป็นหยิน จึงมักนำมาใส่ในซุป เพื่อปรับสมดุลรับประทานในหน้าหนาว
ในใบสดๆ มีสารที่เป็น bitter absinthin ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
มีสาร artemisinin ที่สามารถนำมาสกัดเป็นยาต้านมาเลเรีย (พบในใบพี่น้องอีกชนิดของจิงจูฉ่าย คือชิงฮาว ) และมีสารสำคัญที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ
จิงจูฉ่ายยังมีปริมาณวิตามินซีมากกว่าในมะนาวถึง 58 เท่า มีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต กากใยอาหาร เหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซีสูง วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินบี 6 เป็นต้น (มีมากในใบสด มากกว่าผ่านความร้อนแล้ว)







ชิงเฮา / 青蒿 / Sweet wormwood ( Artemisia annua L )

ชิงเฮา ( พี่ๆน้องๆ ของโกฐจุฬาลัมภาจีน โกฐจุฬาลัมภาไทย และจิงจูฉ่าย) เป็นไม้ล้มลุก อายุสั้น แตกกิ่งมาก ทั้งต้นมีกลิ่นแรง มีขนขึ้นประปราย หลุดร่วงได้ง่าย ใบแฉกรูปคล้ายขนนก ต้นจะมีกลิ่นน้ำมันหอมค่อนข้างแรง
ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมมาจากจีน แต่กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป ภาคเหนือของทวีปแอฟริกา และในทวีปเอเชีย ในประเทศจีนนั้นมักขึ้นทั่วไปตามเนินเขา ตามข้างทาง
ในไทย เอาพันธุ์จากเวียดนามมาปลูก พบว่าขึ้นได้ดีที่ทางภาคเหนือของเรา แต่พบว่าตัวยาสำคัญคือ อาร์ติมิซินินลดลง น้อยกว่าต้นดั้งเดิมจากเวียดนาม แพทย์แผนจีนจะใช้ส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นนำมาใช้ทำยา
แพทย์จีนใช้ชิงเฮารักษาไข้ ไข้มีเสมหะ และใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร
ปีคศ. 1967 ช่วงสงครามที่เวียดนามเหนือ-ใต้ มีมาเลเรียระบาด และดื้อต่อยาต้านมาเลเรียควินิน ได้ขอความช่วยเหลือมาทางจีน
ดร. ถู โยวโยว ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของบัณฑิตยสภาจีนทางด้านการแพทย์จีนโบราณที่สำเร็จศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง (Beijing Medical University) ได้รับการส่งตัวเข้าร่วมโครงการ 523 ซึ่งเป็นโครงการในยุคสมัยของโจวเอินไหล ผู้นำคอมมิวนิสต์คนสำคัญ ได้รวมกับเหมาเจ๋อตุงตั้งโครงการนี้คิดค้นหายากันอย่างลับๆ ดร.ถู โยวโยว ขณะอายุ 37 ปี ต้องพลัดจากครอบครัว ไปอยู่ไหหนานเพื่อร่วมโครงการนี้ มีการรวบรวมยาโบราณมากกว่า 2 แสนตำรับในการวิจัย
ทีมงานค้นพบว่า สมัย คศ. 400 มีการบันทึกการใช้ชิงเฮารักษามาเลเรีย ได้พยายามที่จะสกัดสารอาร์ติมิซินิน (Artemisinin) ออกมาจากสมุนไพรชิงเฮา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในที่สุด ดร. ถู โยวโยว กลับไปศึกษายาแบบละเอียด และทดลองจนได้วิธีสกัดสารตัวนี้ ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย ที่ต้องรับผิดชอบต่อผลการทดลอง ดร.ถู โยวโยว จึงใช้ตัวเองเป็นหนูทดลอง ในการทดสอบยาจนสำเร็จ และมีการนำยาไปใช้กับคน และแรงงานในสงคราม
ในปี 1977 ได้มีการตีพิมพ์งานของ ดร. ถู โยวโยว และในปี 1981 ได้เสนอรายงานการวิจัยกับองค์การอนามัยโลก เธอต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย มีคนพยายามจะกดดัน และต่อต้านงานวิจัยชิ้นนี้ ในที่สุด ผลงานก็เป็นที่ประจักษ์ ดร. ถู โยวโยว ได้รับรางวัล Lasker-DeBakey Clinical Medical Research Award ในปี 2011 (นับเป็นผู้หญิงชาวเอเซียคนแรก ที่ได้รับรางวัลงานวิจัยด้านการแพทย์จากสถาบันนี้) และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีระศาสตร์และการแพทย์ ปี 2015
ปัจจุบัน ดร.ถู โยวโยว อายุ 86 ปี ยังคงทำงานด้านวิจัย และเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ยาที่สกัดจากชิงเฮานั้น มีประสิทธิภาพดีในการรักษามาเลเรียชนิดฟัลซิปารุ่ม และไวแวกซ์ เป็นที่ยอมรับจากองค์การอนามัยโลก
นอกจากนี้ ในชิงเฮายังมีสารกลุ่มฟลาวานอยด์ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ สารต้านเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารอีกด้วย




โกฐจุฬาลัมพาจีน ( Artemisia argyi ) ที่รู้จักกันในชื่อว่า อ้ายเย่ ( 艾叶,อ่านแบบพินอินว่า ài yè ) หรือ Mugwort เป็นพืชในวงศ์ทานตะวัน ซึ่งคล้ายคลึงกับพืชในวงศ์เดียวกันและมักเกิดความสับสนอย่าง โกฐจุฬาลัมพาไทย (Artemisia pallens, Artemisia vulgaris) และชิงฮาว (Artemisia annua)
เราจะใช้ใบและเรือนยอดที่ตากแห้ง นำมายีให้นุ่ม หรือบดผง คุณสมบัติของอ้ายเย่ คือจะช่วยคลายการอุดตัน กำจัดความเย็น ความชื้นออกจากเส้นลมปราณ กลิ่นของโกฐจุฬาลัมภา สามารถผ่านเส้นลมปราณ ควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ นอกจากนี้ ความร้อนที่เกิด จะไม่สูงมาก และค่อยๆส่งผ่านความร้อนเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อ
ในปัจุจบัน มีการนำมาทำเป็นแท่งสำเร็จ คล้ายธูปสีดำ ขนาดประมาณใหญ่กว่าดินสอเล็กน้อย เพื่อความสะดวกในการใช้ และเพื่อปรับใช้กับเทคนิคการรมยาแบบต่างๆได้
ในปี 2005 เมื่อเกิดไข้หวัดนกระบาดในประเทศจีน กระทวงสาธารณสุขจีนได้กำหนดแผนการตรวจรักษาโรคไข้หวัดนกโดยในส่วนของการป้องกันได้กำหนดให้ป้องกันเช่นเดียวกับการระบาดของไข้หวัดอื่นๆ และการใช้โกฐจุลาลัมจีนพาในการฆ่าเชื้อนั้นเป็นวิธีที่สะดวก ราคาถูก และให้ผลที่ดี ในปี 2009 มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ซานเซียงตูซื่อเป้า(三湘都市报)ของจีนว่าการจุดโกฐจุฬาลัมพาจีนสามารถฆ่าเชื้อมือเท้าปากได้อีกด้วย และยังมีงานวิจัยว่าควันจากการรมยาด้วยโกฐจุลาลัมพาจีนสามารถฆ่าเชื้อและหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ S. aureus, Group B Streptococcus, E.coli และ Candida albicans นอกจากนี้ยังสามารถฆ่าเชื้อคอตีบ ไข้ไทฟอยด์ บิดไม่มีตัว เป็นต้น (อ้างอิงจาก แพทย์จีนสุดสัปดาห์ 2015 )
ในตำราดั้งเดิม มีการวางก้อนโกฐจุฬาลัมภาจีนที่ปั้นเป็นก้อนเล็กๆบนผิวโดยตรงแล้วจุดไฟ วิธีนี้ จะทิ้งแผลพองมีน้ำ ในหลายๆประเทศยังมีการทำแต่วิธีนี้ไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าผิดกฎหมายในอเมริกา
สรรพคุณของการรมยามีดังนี้
1. อบอุ่นเส้นลมปราณ ขจัดความชื้น
2. ให้เส้นเลือดและลมปราณไหลเวียนดีขึ้น
3. เสริมพลังหยาง โดยเฉพาะคนที่มีอาการมือเย็น เท้าเย็นง่าย ขี้หนาว บางครั้งมีถ่ายเหลวร่วมด้วย
4. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน โดยใช้แท่งม็อกซ่า หรือโกฐจุฬาลัมภาสำเร็จรูป จุดไฟแล้วรมบริเวณหน้าท้อง และจุดสะดือ

ท่าออกกำลังกาย_แก้ปวดหลัง_แก้ปวดเอว






วิธีออกกำลังแบบ ゴロゴロ体操 โดยแพทย์ Takashi Kurihara จากรายการ TBS "The Best Doctor's Taikoban"! ,ว่ากันว่ากล้ามเนื้อบริเวณรอบเอวแข็งตัวจะทำให้อาการปวดหลังเกิดขึ้น การใช้ท่าออกกำลัง ゴロゴロ体操 จะไปขยายการเคลื่อนไหวของข้อต่อสะโพกทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อต่สะโพกคลายตัว สามารถป้องกันและแก้ไขอาการปวดหลัง






1. เอามีทั้งสองข้างจับไปที่ข้อเท้า





2. โยกตามแนวลูกศร ขึ้น ลง 10 ครั้ง





3. โยกตามแนวลูกศร ซ้าย ขวา 10 ครั้ง









จาก https://xn-n8jub8830ajv3b.com/archives/10961

ความเชื่อและความหมายของหินชนิดต่างๆ

AGATE
อาเกต เรียกอีกอย่างว่า หินโมรา เป็นหินที่มีหลายสี ที่นิยมคือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือ ฟ้าในเนื้อหิน เป็นเหมือนเครื่องรางของขลังตั้งแต่โบราณ ชาวอียิปซ์ ถือว่าช่วยป้องกันภยันตรายให้เจ้าของ และเป็นตัวแทนทรัพย์สิน เพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย ช่วยทำให้จิตใจเยือกเย็น สงบ ถ้านำมากำไว้จะช่วยชะล้างอารมณ์รุนแรง เร่าร้อน คลายอารมณ์เคร่งเครียด แล้วนำหินไปล้างเพื่อชำระล้างทิ้งไป นอกจากนั้น ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย ถ้านำมาวางไว้บนหัวเตียง เชื่อว่าสามารถช่วยเสริมสมรรถภาพพลังทางเพศได้อีกด้วย

AMAZONITE
แอมะซอไนต์ คือ แร่ไมโครไคลน์ชนิดหนึ่ง ที่มีสีเขียว หรือฟ้าอมเขียว เป็นแร่ในกลุ่มเฟลด์สปาร์ บางครั้งใช้เป็นรัตนชาติ (มีความหมายเหมือนกับแอมะซอนสโตน : amazonstone) คำว่า แอมะซอไนต์ มาจากชื่อของแม่น้ำแอมะซอน(แม่น้ำอะเมซอน) ในทวีปอเมริกาใต้นั่นเอง เพราะมีการพบแร่ดังกล่าวจากหินสีเขียวบางชนิด แต่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเฟลด์สปาร์สีเขียวนั้นปรากฏในแถวลุ่มน้ำอะเมซอนหรือไม่ สามารถพบในประเทศมาดากัสการ์ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา
ความเชื่อเกี่ยวกับแอมะซอไนต์ เป็นหินที่ช่วยให้กล้าแสดงออก ทางศิลปะ ดีสำหรับลำคอและเส้นประสาททั้งหลาย

AMETHYST
อเมทิสต์ เป็นหินที่มีสีม่วง อ่อนจนถึงเข้ม เรียกอีกอย่างว่า พลอยม่วงดอกตะแบก มีพลังในการบำบัดสูง ก่อให้เกิดความยุติธรรมขึ้นในใจ ขจัดความคิดทางลบ สยบอารมณ์โกรธหรือร้าย ขจัดความเครียด เป็นหินที่โดดเด่นในเรื่องการบำบัด รักษาเกี่ยวกับสุขภาพ โรคเลือด โรคนอนไม่หลับ ขจัดความเครียด ช่วยให้อารมณ์ที่โมโหอยู่ผ่อนคลายลง และยังเด่นในเรื่องการเสริมฮวงจุ้ยที่ดีให้กับบ้าน ช่วยให้คนในบ้านสมัครสมานสามัคคีกันมากขึ้น
ด้านการบำบัด : ช่วยในคนที่มีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ ควรนำอเมทิสต์มาวางไว้ตรงหน้าผาก และทำสมาธิสักพัก อาการดังกล่าวก็จะดีขึ้นตามลำดับ หรือสามารถนำมาวางไว้ใต้หมอน รักษาโรคนอนไม่หลับ ช่วยฟอกเลืิอดสร้างเม็ดเลือดได้ โดยสามารถนำมาล้างน้ำสะอาด แช่น้ำ้สักครู่ จึงนำน้ำนั้นมาดื่ม เพื่อบำบัดอาการป่วยดังกล่าว

AMETRINE
อเมทริน เป็นหินที่มีสีม่วงอมเหลือง เป็นหินที่ช่วยปรับสมดุล การโน้มนาว ปรับตัวเข้าหากัน ขจัดความขัดแย้ง ปรับสมดุลของจิตใจผู้อยู่รอบข้าง เสริมความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง เหมาะกับคนที่พักฟื้นจากการเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ จะทำงานร่วมกับจิตใจ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายแข็งแรง

APATITE
อพาไทต์ เป็นหินที่รวมแร่ธาตุหลากหลายชนิดเข้าไว้ด้วยกัน บางครั้งจะดูคล้ายฟลูออไรท์ และเพทายฟ้า พบมากจะเป็นสีเขียวปนฟ้า หินชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมจิตใจให้เข้าสู่ความสงบ ช่วยให้เกิดความไม่ประมาท เหมาะกับคนที่ไม่ยอมรับความจริงในด้านลบ พลังหินจะนำมา หรือชี้ช่องทางให้ได้ว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน จึงจะสงบดีงามที่สุด

AQUAMARINE
อความารีน (Aquamarine symbol of Happiness and Everlasting Youth) เป็นหินตระกูลเบอริล (Beryl) โดยทั่วไปจะมีความหมายถึงความอ่อนวัย ความเป็นหนุ่มสาว และความหวัง เป็นสัญลักษณ์ของความสุข มีความหนุ่มเป็นสาวที่เป็นอมตะ ช่วยบําบัดร่างกาย จิตใจ ลดความโกรธ จิตใจสงบ เพิ่มพูนความฉลาด ทําให้การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นดีขึ้น ลดความกลัว ปรับปรุงความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้ายืนหยัดในสถานภาพที่เป็นอยู่อย่างไม่หวั่นไหว อความารีนช่วยลดอาการเครียด ทําให้จิตใจสงบ สติปัญญาเฉียบแหลม มีจิตใจละเอียดอ่อน มีความคิดสร้างสรรค์ กล้ารับผิดชอบในการกระทําของตนเอง ปกป้องคุ้มครองยามเดินทางไกล โดยเฉพาะทางน้ำ และใช้ในการสื่อสารกับจิตใต้สำนึก จะช่วยให้เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง หรือพกติดตัวเวลาต้องพบปะคนแปลกหน้า จะช่วยให้ไม่ประหม่า แถมยังเชื่อฟังในสิ่งที่คุณพูดอีกด้วย ทั้งนี้ อความารีนเป็นหินประจำเดือนเกิดมีนาคม
ความเชื่อ : คนโบราณเชื่อว่าจะส่งพลังดีๆ ช่วยปกป้องคุ้มครองในยามเดืนทาง และนำความอุดมสมบูรณ์ซึ่งยิ่งใหญ่ดั่งท้องทะเลมาให้ ทั้งยังนำพาให้จิตใจสดชื่น อ่อนโยนและความมีเสน่ห์มาสู่ผู้เป็นเจ้าของ
ด้านการบำบัด : ช่วยบรรเทาอาการเมาคลื่น ลดอุบัติภัย บำบัดอาการทางระบบประสาท ความดันโลหิตสูง นำมากำไว้ในมือจะช่วยให้สดชื่นคลายความกังวลได้เป็นอย่างดี

AZURITE
อะซูไรต์ หินที่มีสีน้ำเงินเข้ม เกิดจากแร่โคบอลต์ซึ่งเป็นรูปผลึกแบบระบบโมโนคลีนิก (MONOCLINIC) มักจะพบในรูปเป็นแท่งหรือเป็นรูปผลึกปริซึม (PRISMATIC CRYSTALS) ผลึกของอะซูไรต์จึงมักจะซับซ้อนและสามารถเปลี่ยนรูปไปจากเดิมได้ โดยอาจจะมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมบ้าง เกาะกันเป็นกลุ่มเนื้อแบบเป็นเส้นบ้าง กระจายแบบรัศมีบ้าง
คำว่า อะซูไรต์ นั้นมาจากภาษาอาหรับที่หมายถึง “BLUE” อันหมายถึงสีน้ำเงิน ดังนั้นสีของอะซูไรท์จึงมีสีน้ำเงินเข้มจนถึงสีฟ้าอ่อนเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของมัน มีค่าความแข็งตามมาตรวัดของโมห์ (MOH’S SCALE) อยู่ที่ 3.5 – 4.0 คือ สามารถเอาอะซูไรต์ไปขูดแร่ยิปซั่มให้ยิปซั่มเกิดรอยได้ แต่ถ้านำแก้วมาขูด อะซูไรต์ก็จะเกิดรอย ดังนั้นในอิยิปต์สมัยโบราณเขามักจะนำอะซูไรท์มาบดเป็นผงเพื่อทำสีทางตาบ้าง นำมาย้อมผ้าบ้างและนำมาใช้ในการเขียนภาพบ้างก็มี
ด้านความเชื่อ : ในตำนานของชาวเผ่าเชโรกีและนักรบอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ เชื่อกันว่า หินอะซูไรท์นี้จะมีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูง แล้วเชื่ออีกว่าเป็นหินที่มีพลังวิเศษอันเกี่ยวเนื่องกับวิญญาณและการขอพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ตนนั้นมีพลังที่แข็งแกร่ง จนสามารถมีชัยชนะเหนือคู่แข่งทั้งปวงได้ ยิ่งมีสีน้ำเงินเข้มเท่าไรก็จะมีพลังมากขึ้นเท่านั้น โดยชาวเผ่าเชโรกีเชื่อกันว่าถ้านำหินอะซูไรต์มาวางไว้บนหน้าผากในขณะที่ทำสมาธิจิตแล้ว อะซูไรท์จะช่วยกระตุ้นพลังความคิดอันสร้างสรรค์ จะทำให้สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณเบื้องสูงได้ และสามารถถ่ายทอดพลังการคุ้มครองของอะซูไรท์เข้าสู่ร่างกายได้ ในทางโหราศาสตร์แล้วถือว่าอะซูไรต์นั้นเป็นอุปมณีชนิดหนึ่งของดาวเสาร์ ซึ่งจะอำนวยให้เกิดความแข็งแกร่งเหนืออุปสรรคทั้งปวง ทำให้เป็นผู้นำที่กล้าแกร่งมั่นคง ทำให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง สามารถทำลายมายาที่ปิดกั้นการรับรู้ที่แท้จริงได้
ด้านการบำบัด : เชื่อกันว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับกระดูกและเส้นเอ็น สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สามารถป้องกันเส้นโลหิตในสมองแตกได้ บรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดเส้นประสาท บำบัดโรคที่เกี่ยวกับการอุดตันของลำไส้ บำบัดพิษร้ายจากสัตว์และแมลง โรคผิวหนังพุพองติดเชื้อ

BERYL
แบริล ช่วยเสริมพลังด้านความคิด ความรู้ ความฉลาดปราดเปรื่อง มีความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความมุ่งมั่น และมองโลกในแง่ดีอีกด้วย


BLUE LACE AGATE
บลู เลซ อาเกต มีสีฟ้าอมเทา มีลาย ขาว ช่วยปรับอารมณ์ให้สงบ ช่วยให้มั่นใจในการแสดงออก และการพูดต่อหน้าสาธารณชน ทำให้มีความอดทน เมตตากรุณา ซื่อสัตย์
ลดอาการทางประสาท ทำให้ใจเย็นช่วย รักษาสุขภาพลำคอ


CARNELIAN
คาร์เนเลียน เป็นหินที่มีหลายสี สีชมพู ส้มแดง น้ำตาล แดง สีส้มแกมใส เป็นสีพื้นฐานของหินชนิดนี้ คาร์เนเลี่ยนของอินเดีย จะสวยงามมาก เมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ สีจะเปลี่ยนไปตามระดับ ตั้งแต่น้ำตาลไปจนถึงสีแดง แต่เดิมคำว่า คาร์เนเลียน เป็นสัญลักษณ์ของความสดใหม่ และเนื้อสัตว์ ช่วยปลุกพลังภายในร่างกายให้ตื่นขึ้นมาทำสิ่งต่าง ๆ เหมาะกับคนที่สับสนขาด ความเชื่อมัน ให้มีพลังผลักดันให้เกิดความสุข กล้าเปิดเผยความรักที่อยู่ในใจให้อีกฝ่ายรู้ บำบัดอาการอิจฉาริษยาทั้งในตัวเองและคนอยู่รอบข้าง ถ้านำมาไว้ใต้สะดือ จะช่วยเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เบื่ออาหาร ระบบขับถ่ายได้


CHERRY QUARTZ
เชอร์รี่ควอตซ์ เป็นหินนำโชคด้านความรัก ความเมตตา นำมาซึ่งความหวัง ลดความเครียด


CHRYSOCOLLA
คริสโซคอลลา มีคุณสมบัติในการคืนพลังความชุ่มชื้น หรือพลังชีวิตให้กับผู้เป็นเจ้าของ บางคนอาจหมดหวังหรือสิ้นหวังเสียใจ หากได้กำหินชนิดนี้ไว้สักพัก พลังของหินจะปลอบโยนจิตใจ ทำให้ความคิดด้านลบหมดไป อารมณ์แจ่มใสมากขึ้น ในขณะเดียวกัน หินชนิดนี้จะเสริมความมั่นคงก้าวหน้า เสริมบารมี และทำให้มีคนรักคุณไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม


CHRYSOPRASE
คริสโซเพลส เป็นหินในตระกูลคาลซิโดนี ช่วยเสริมความงามสง่า หากสวมใส่ติดตัวบ่อยครั้งจะช่วยให้เพศตรงข้ามมองเห็นความงามของคุณ ลึกซึ้งจากภายใน และมีคุณสมบัติในการบำบัดทั้งอารมณ์ จิตใจให้ดีขึ้น นอกจากนี้ เหมาะที่จะใช้ในการบำบัดสถานที่ในที่ทำงาน หรือบ้านที่มีแต่ผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกัน ควรนำหินชนิดนี้มาวางไว้ให้ผู้คนทั่วไปได้เห็นทั่วกัน เพื่อที่หินจะส่งคลื่นพลังทำให้ผู้คนเหล่านั้นมีจิตใจสงบลงเข้าใจกันมากขึ้น

FLUORITE
ฟลูออไรต์ มีหลากหลายสี แต่สีที่พบเห็นมาก คือชนิดที่มีสีเขียว และสีม่วง มีลักษณะสีปนกันเป็นชั้นๆ เป็นหินที่มีพลังของสัญชาตญาณ ที่ทำให้เกิดภาพนิมิต มีความเชื่อว่าหินชนิดนี้สามารถพัฒนาจิต พัฒนาการหยั่งรู้ และช่วยในเรื่องการทำสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ มั่นคง ปรับสมดุลของความคิดทั้งด้านบวก และลบให้ดีขึ้น
ด้านการบำบัด : ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดการปวดหลัง ปวดเอว หากมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของกระดูกในร่างกาย ให้นำหินชนิดนี้มาวางไว้บริเวณนั้น นอนลงพักผ่อนสักระยะ จะช่วยให้ดีขึ้น หรือต้องการให้การสื่อสารกับผู้คนซึ่งอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายให้ง่ายขึ้นก็ควรนำมากำไว้ในมือ


GOLD STONE / SAND STONE / SILVER SANDSTONE
ทรายทอง, ทรายเงิน "หินแห่งความร่ำรวย" ภายในมีเกล็ดทรายสีเงินระยิบระยับสวยงาม เชื่อว่าช่วยเรียกโชคลาภ เงินทอง เป็นตัวแทนแห่งความเจริญรุ่งเรือง เป็นหินที่เกี่ยวพันธ์ต่ออารมณ์และจิตใจใช้ได้ดีสำหรับเพิ่มพลังงานบวก ต่ออายุ สร้างความแข็งแรง ส่งต่อพลังงาน สามารถสร้างและรักษาระดับสมดุลพลังงาน
ด้านการบำบัดรักษา :
-เป็นหินที่ปกป้องส่วนกลางของร่างกาย
-เป็นหินที่กระตุ้นการทำงานของอวัยวะในร่างกายคุณ
-เป็นหินที่ปรับและรักษาความสมดุลพลังงานร่างกาย
-เป็นหินที่สามารถปรับให้คุณเป็นหนุ่มเป็นสาว
-เป็นหินที่สามารถสร้างอารมณ์อันดี
-เป็นหินที่ให้อายุยืนยาว และสร้างความแข็งแรง
-เป็นหินที่สามารถช่วยลดความตึงเครียดภายในช่องท้อง

GREEN AVENTURINE
กรีน อะเวนเจอรีน เหมาะกับคนที่ทำงานด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เสริมให้เกิดความกล้างแสดงออก หรือที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง และยังเหมาะกับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเจรจาการค้า ยิ่งถ้าเป็นนักขายควรพกพาหินชนิดนี้ไว้ จะกระตุ้นให้กล้าพูด กล้าเปิดและปิดการขาย หรือหากเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่วุ่นวายสับสน แนะนำให้กำหินไว้ขณะเกิดความรู้สึกตึงเครียด หินชนิดนี้จะช่วยชำระล้างอารมณ์ที่ขุ่นมัวให้ใสสะอาด และบำบัดให้สุขภาพดี

HEMATITE
เฮมาไทต์ เป็นหินแร่ออกไซด์ชนิดหนึ่ง สีดำแวววาวลักษณะคล้ายเหล็กไหล เนื้อแร่มีความวาวมีลักษณะเดียวกันกับโลหะ เมื่อแสงกระทบถูกจะเกิดประกายแวววาวสีรุ้ง เนื้อแร่ทึบแสงหากนำมาบดจะได้ผงสีแดง
เฮมาไทต์ มาจากคำภาษากรีก ใช้เป็นเครื่องรางป้องกันเลือดออก และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หินเลือด” เมื่อเปรียบเฮมาไทต์เหมือนดอกไม้นั้น เฮมาไทต์จะถูกเรียกว่า “กุหลาบเหล็ก” ชนพื้นเมืองอเมริกันใช้แร่เฮมาไทต์ เพื่อให้อยู่ยงคงกระพันในการต่อสู้ ประชาชนในศตวรรษที่18-19 จะสวมเครื่องประดับแร่เฮมาไทต์ระหว่างการไว้ทุกข์ เสริมมงคล ปกป้องคุ้มครองภยันตราย ป้องกันพิษทุกชนิด ป้องกันคุณไสย บำรุงสายตา บรรเทาอาการเจ็บป่วย
ความเชื่อ : ในเมืองไทย เฮมาไทต์ มีคนเชื่อกันว่าเป็นแร่ตระกูลเหล็กไหลชนิดหนึ่ง เป็นเหล็กไหลน้ำรอง บางทีก็เรียกกันว่า ‘เพชรดำ’ เป็นหินที่มีชื่อเสียงด้านให้พละกำลัง ซึ่งมันจะมีธาตุเหล็กจับกับธาตุหลายชนิด ใช้เป็นเครื่องประดับเครื่องราง มีดีทางป้องกันอันตราย มีพลังอยู่ในตัวมากนำมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะทำน้ำมนต์รักษาโรค เสริมออร่าตนเอง ช่วยสมาธิภาวนา ปกป้องคุ้มครองภยันตราย ป้องกันพิษทุกชนิด ป้องกันคุณไสย ฯลฯ นอกจากนั้นแร่เฮมาไทต์ยังเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเพิ่มความสามารถ ใช้ในการปรับปรุงความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น พกเฮมาไทต์ไว้กับตัวคุณตลอดเวลา เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง
ด้านการบำบัด : แร่เฮมาไทต์จะช่วยกระตุ้นการดูดซึมธาตุเหล็กในลำไส้ขนาดเล็กซึ่งจะช่วยเพิ่มออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ใช้บำรุงสายตา บรรเทาอาการเจ็บป่วย

HOWLITE
โฮไลต์ มีสีขาวขุ่น มีลายเส้นสีเทาไม่เป็นระเบียบ ช่วยให้หลับลึก จดจำความฝันได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับ คลายความโกรธ และความเจ็บปวดทางกาย ดีมากสำหรับกระดูก ช่วยปรับระดับแคลเซียมในกระดูกให้สมดุล


JADE
หยก ดึงดูดความมั่งคั่ง เสริมความเจริญก้าวหน้า ปกป้องคุ้มครอง โดยเฉพาะทารก และคนชรา มีพลังในการปลุกปลอบจิตใจสูง สร้างสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้อายุยืน สีที่แตกต่าง จะช่วยบำบัดต่างด้านกัน เช่น
หยกสีเหลือง: ช่วยบำบัดอาการฝันร้าย
หยกสีขาว: ช่วยให้จิตใจสงบ
หยกสีเขียว: ช่วยบำบัดรักษาโรค
แต่พลังโดยรวมของหยกทุกสีจะเสริมสิริมงคลได้ในทุกเรื่อง ที่แนะนำไว้ข้างต้น ตามตำนานของจีนเชื่อว่า หยกมีคุณสมบัติในการบำบัดผู้ป่วยที่เจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ โรคไต โรคทางเดินหายใจ ทำให้การไหลเวียนของโลหิตที่ติดขัดกลับดีขึ้น เพราะหยกจะมีพลังในการขับของเสียออกจากร่างกายได้ดี ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และยังเหมาะกับการดูดซับปัญหา ช่วยให้จิตใจสงบขึ้น ไม่ใส่ใจในคำนินทาว่าร้ายของคนอื่นมากนัก

KYANITE
ไคยาไนท์ ช่วยส่งเสริมในเรื่องสติและปัญญา เหมาะกับนักเรียนนักศึกษา และผู้บริหารเจ้าของธุรกิจที่มีความรับผิดชอบสูง คนที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกน้อง
หินนี้จะแสดงพลังความสามารถในตัวเราที่มีออกมา ทำให้เรามีความสามารถหลายด้าน และทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะกลายเป็นคนที่เก่งและมีความสามารถในสายตาของผู้ที่พบเห็น

LABRADORITE
ลาบราโดไรต์ หินชนิดนี้จะเป็นตัวเชื่อมประสานให้เราทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นใจตัวเราได้ดีขึ้น เป็นหินที่เหมาะจะใช้กับการนั่งสมาธิ คนที่สมาธิสั้น ช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างความคิด และการกระทำ หากคนที่มีอาการผิดปกติในร่างกายที่ค้นหาไม่พบ ตรวจไม่เจอ แต่เจ็บป่วยบ่อยครั้ง พลังหินจะช่วยบำบัดให้ผู้นั้นมีจิตใจที่สดชื่นแจ่มใส และมองโลกในด้านบวก ทำให้สภาพจิตใจเข้มแข็งขึ้น

LAPIS LAZULI
แซฟไฟร์ ที่มีสีน้ำเงินเข้ม มีละอองทองผสมอยู่ในเนื้อ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลัง อำนาจ เสริมสร้างสติปัญญา มีพลังแห่งการหยั่งรู้ การเปิดตาเปิดใจให้ค้นพบสัจธรรม และความเป็นจริง มีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูงมาก ช่วยในการถอนพิษ หรือบำบัดอาการระคายเคืองในดวงตา ลำคอ เป็นพลอยที่มีค่ามากในสมัยอียิปต์ ชาวอียิปต์เชื่อว่า หินนี้เป็นหินเทพเจ้า สัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ และเกียรติอันสูงส่ง ช่วยปกป้องอันตราย มีความหมายด้านเรียกเงินเรียกทอง นำโชคดีด้านการเงินมาให้ ช่วยนำพาความเข้าใจคนอื่น และเข้าใจตัวเอง บำบัดอาการขี้หลงขี้ลืม โรคสมองเสื่อม ดีต่อสายตา สมองและระบบหมุนเวียนโลหิต ขจัดความกังวลและความหวาดกลัว ช่วยให้มองโลกในแง่ดี มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาอาการคั่งของเลือด โรคลมชัก ขับเสมหะ ช่วยให้ความแข็งแรงกับทั้งร่างกายและจิตใจ ป้องกันโรคซึมเศร้าและอาการผิดปกติทางจิต เปิดช่องทางให้กับประสาทสัมผัสภายใน และสร้างความกระจ่างแก่จิตใจ
เป็นหินที่เปิดดวงตาที่สาม เหมาะกับทุกราศีเกิด สามารถส่งคลื่นพลังกระตุ้นพลังกายทิพย์ในร่างกาย ให้สามารถมองเห็นลึกเข้าไปในจิตใจของทุกผู้คน มองลึกลงไปในปัญหาต่างๆ จึงมักเป็นหินที่ใช้เกี่ยวกับดวงชะตาโหราศาสตร์ มีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูงมาก เสริมสร้างสติปัญญา คุณสมบัติเด่นของลาพิส ลาซูลี อยู่ที่แร่ไพไรท์ที่ฝังอยุ่ในเนื้อหิน จะช่วยให้เรามองเห็นหนทางที่จะนำพาทรัพย์สินมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ สามารถเรียกเงินเรียกทองได้
ชาวอียิปโบราณ เชื่อว่าถ้าสัมผัสลาปิส ลาซูลี่ทุกวันจะนําความสุขใจ ความสมหวังและมีชีวิตที่สุขสบาย เพราะเป็นหินที่เป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ และการมีสถานะภาพที่สูงส่งในสังคม เนื่องจาก ลาปิส ลาซูลี่ มีเกล็ดเล็กระยิบระยับของแร่ไพไรท์อยู่ด้วย ทําให้นึกถึงประกายของดวงดาวยามคํ่าคืน จึงทําให้นอนหลับอย่างเป็นสุข ช่วยในการนั่งทําสมาธิ ช่วยในการติดต่อสื่อสารทุกระดับอย่างไม่ติดขัด ชักจูงให้ตัวเองเชื่อในสัญชาตญานที่ถูกต้องของตนเอง ชักนําเพื่อนแท้เข้ามาในชีวิต ทําให้เป็นคนกล้าหาญในการเผชิญหน้าเข้าสังคม มีความมั่นใจในตัวเอง ช่วยในการตัดสินใจโดยการเลือกใช้ข้อมูลให้ถูกต้อง ทำให้เกิดความรักเข้าใจในหมู่พวกพ้องหุ้นส่วนในการทำธุรกิจ

LARIMAR
ลาริมาร์ ส่งเสริมด้านความสงบสุขของจิตใจ นำพาความสงบสุขมาสู่ผู้ที่ครอบครอง และพลังงานนี้ยังส่งผลช่วยลบเรื่องแย่ๆ ด้านลบๆ ออกจากจิตใจของเราอีกด้วย

LAVA
หินภูเขาไฟ เป็นหินสีดำที่เก็บความร้อนได้ดี มักจะนำไปบำบัดในแบบฉบับหินร้อน และใช้นวดเพื่อบำบัด โดยทั่วไปหินภูเขาไฟจะช่วยในเรื่องผิวพรรณ และกล้ามเนื้อ ต้นตำรับการนวดโดยใช้หินร้อนมาจากตะวันออกไกล หลายพันปีมาแล้ว เพิ่งไม่กี่ปีมานี้เองที่เพิ่งค้นพบเทคนิคดังกล่าว และนำกลับมาใช้อย่างแพร่หลาย
หินภูเขาไฟช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยในการล้างพิษ (Detox) ของกล้ามเนื้อ และผ่อนคลายความกังวล รวมถึงช่วยให้นอนหลับสบาย
ด้านการบำบัดของหินลาวา
: เพิ่มออกซิเจนในกระแสเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
: ป้องกันการแข็งตัว และการเกิดลิ่มในกระแสเลือด ซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคอัมพฤกษ์ และโรคอัมพาต
: ช่วยขจัดเซลล์ไขมัน โปรตีนส่วนเกินและสารตกค้างอื่นๆ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ
: ช่วยลดอาการซึมเศร้า และเพิ่มความกระฉับกระเฉง
: ต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดริ้วรอยแห่งวัย
: ช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุจากโทรศัพท์มือถือ
: ช่วยเพิ่มพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญและการทำงานของเซลล์ในร่างกายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
: ช่วยให้ DNA แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพันธุกรรม
: ทำให้น้ำมีโมเลกุลเล็กลง ร่างกายจึงสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

MALACHITE
มาลาไคท์ ช่วยเสริมอำนาจบารมี ความเจริญก้าวหน้า ป้องกันอุบัติเหตุ เสริมด้านคำพูด ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเจรจาต่อรอง เป็นหินที่ส่งเสริมให้อนาคตของคุณดีขึ้น และช่วยให้เข้าสมาธิได้เร็ว ในด้านความเชื่อ หากหินมีพลังแรงสั่นสะเทือน มีความหมายในด้านการเตือนภัยอุบัติเหตุที่จะเกิดค่อนข้างสูง เป็นการเตือนภัยล่วงหน้า หินจะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองต้านพลังร้าย จนบางครั้งทำให้หินแตก มีรอยร้าวเกิดขึ้นได้

MULTI QUARTZ
ควอตส์ เป็นหินใส มองเห็นสายแร่ด้านใน สีสันแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุ เชื่อว่าผู้สวมใส่จะมีความอุดมสมบูรณ์ และนำโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ หากมีการสื่อสารเรื่องเงินทอง อาจทำให้โชคดี เจรจาเป็นผลสำเร็จ หรือชนะการเสี่ยงทาย นอกจากนี้ ยังเป็นหินสร้างความเชื่อมั่น ชำระล้างพลังด้านลบ ปรับสมดุลในจิตใจ ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์ ทั้งยังดลบันดาลให้ทุกสิ่งสมปรารถนาราวกับปาฏิหารย์ และมีพลังพิเศษ นำสิ่งดีๆ มาสู่ตัวเองได้ และจะได้พบสิ่งดีๆ โดยไม่คาดหมาย ควรจะพกไว้ในยามเดินทาง

MOONSTONE
มูนสโตน หรือมุกดาหาร "หินแห่งความรัก" เป็นหินที่มีสีขาวใส คล้ายหยดน้ำ สายหมอก หรือสีน้ำนม จัดเป็นอัญมณี ชุดนพเก้าของไทย เชื่อว่าจะสว่างใสมากขึ้นใน วันพระจันทร์เต็มดวง จึงเรียกว่า มูนสโตน หรือจันทรกานต์ เป็นหินเสริมศิรีิมงคล ช่วยสร้างพลังแห่งความพิศวาสให้กับคู่รัก นำความผูกพันมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ผู้หญิงที่สวมใส่หินชนิดนี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองทางด้านอารมณ์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือมีรอบเดือน และหากมีปัญหาในเรื่องความรัก มีความห่างเหินในชีวิตคู่ ควรถือมูนสโตนนี้ไว้ในมือ และนึกถึงปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างกัน คลื่นพลังของหินจะช่วยปลอบประโลมให้คุณคลายความทุกข์เศร้าลง รวมถึงทำให้ผู้ที่คุณกำลังคิดถึงอยู่นั้นเข้าใจในความรู้สึกของคุณมากขึ้น หินชนิดนี้จะเพิ่มพลังอย่างมหัศจรรย์ให้กับผู้เป็นเจ้าของ โดยเฉพาะคนที่กำลังมีความรัก หากฝังมูนสโตนไว้เหนือประตูด้านในของตัวบ้าน และแกะสลักเป็นรูปชาย-หญิง สวมกอดกัน สำหรับคู่แต่งงานใหม่แล้วจะทำให้การครองคู่นั้นยืนยาว และมีความศรัทธาไว้วางใจในกันและกัน ช่วยบำบัด ปัญหาต่อมไร้ท่อ โรคลมชัก ไทรอยต์ ท้องเสีย


Mother of PEARL
ไข่มุก หรือแม่มุก แม่มุกเป็นฝาหอย ที่ให้กำเนิดเม็ดไข่มุกไว้ด้านใน จึงมีความหมายเหมือนกัน คือเป็นสัญลักษณ์แห่งเพศหญิง ให้คุณประโยชน์ในด้านปกป้องคุ้มครอง เสริมในด้านโชคลาง และป้องกันอาถรรพ์ ช่วยให้ความปรารถนาของผู้หญิงเกี่ยวกับความรักนั้นสมหวัง จึงนิยมสวมใส่สร้อยไข่มุก เชื่อว่าจะทำให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข และยังเป็นตัวแทนของเงินตรา นำพาความมั่งคั่งร่ำรวย พาคุณไปพบกับช่องทางทำมาหากิน


ONYX
นิล เป็นโมราประเภทหนึ่ง สามารถปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ และคุ้มครองให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุ หรือจากคนที่ไม่หวังดี พกติดตัวไปงานศพ ก็สามารถแก้เคล็ดให้กับคนที่ไม่ค่อยถูกกับงานศพ และคนที่สุขภาพร่างกายอ่อนแอป่วยบ่อยๆ จึงควรสวมใส่หรือพกติดตัวไว้ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และนำพาโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง หรือไม่มั่นคงในความคิด คนที่หวาดระแวง วิตกกังวลกับสิ่งต่างๆ รอบตัว

OPAL
โอปอล เป็นพลอยมีสีเหลือบเหลือง สะท้อน ประกายสีรุ้ง เป็นที่รวมพลังจากดวงจันทร์ และสายน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความบริสุทธิ์ และไร้เดียงสา เหมาะกับคนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในวงการมายา หรือวงการบันเทิงทุกรูปแบบ มีลักษณะพิเศษเฉพาะคือ สามารถปกป้องคุ้มครองเสริมสิริมงคล ให้กับบุคคลที่เกิดในราศีตุลย์ ซึ่งเป็นการเสริมดวงชะตาให้เฉพาะกับราศีนี้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นอกจากนี้ คนโบราณยังมีความเชื่อเรื่องการเสริมเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามให้มารักใคร่เสน่หาอีกด้วย เนื่องจากโอปอลเป็นหินที่ค่อนข้างเปราะบางแตกหักง่าย จึงควรทำเป็นเครื่องประดับ โดยเฉพาะจี้ ต่างหู สร้อยคอ และควรเพิ่มพูนพลังให้โอปอลด้วยการนำไปล้างน้ำทะเล หรือน้ำสะอาดก็ดี
ด้านการบำบัด : มีพลังแห่งบำบัดสูง บำบัดโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศ และกระตุ้นพลังทางเพศได้ดี เชื่อว่าดื่มน้ำเย็นๆ จากการแช่โอปอล จะทำให้ผ่อนคลายขณะจะคลอดบุตร ช่วยรักษารากผมให้แข็งแรง ดูแลปอดให้แข็งแรง


PICTURE JASPER
แจสเปอร์ เป็นหินที่ช่วยให้คนทำงานอย่างเป็นขั้นตอน พิถีพิถัน เหมาะที่ใช้ร่วมในการสร้างจิตนาการ มีความสามารถในการเข้าถึงธรรมชาติ มีพลังปกป้องคุ้มครอง ขจัดมลพิษและรังสี พลังแม่เหล็กต่างๆ ได้ ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียดได้ดี มีความคิดฉับไว ลวดลายของหินที่ปรากฎเสมือนแผนที่บอกทิศทางในจิตใจ ช่วยแก้ปัญหา เป็นสื่อสร้างความเข้าใจ และความนึกคิด ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้จิตสำนึก เหมาะกับผู้ที่มีอาชีพทางออกแบบสร้างสรรค์ ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับผู้ที่ป่วย หรือมีความกดดันด้านต่างๆ ด้านการบำบัดนั้นดีต่อตับ กระเพาะปัสสาวะ และถุงน้ำดี

PYRITE
ไพไรต์ มีสีเหมือนเหล็ก ปนเงิน-ปนทอง มีจุดเด่นอยู่ที่ ลักษณะที่เป็นลูกบาศก์ หรือห้าเหลี่ยมสิบสองด้าน เป็นที่รู้จักกัน ในฐานะที่เป็นแร่ชนิดหนึ่ง สีเหลืองที่ออกเป็นสีทองเหลืองอ่อนๆ นั้น มักเป็นที่สับสนกับทอง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ทองคนเซ่อ' เป็นหินที่ช่วยขจัดความกังวล และความหวาดกลัว ช่วยให้มองโลกในแง่ที่ดี ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือด และยังนำโชคด้านการเงินมาให้อีกด้วย มีความหมายด้านเรียกเงินเรียกทอง ยิ่งนำมารับพลังจากแสงอาทิตย์ จะยิ่งเปล่งประกาย ระยิบระยับ และเพิ่มพลังดึงดูดสิ่งดีๆ เข้าสู่ตัวเราได้ ช่วยนำพาความเข้าใจตัวเอง และคนอื่นมาสู่เรา มักใช้ในด้านอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือด้านจิตใจมากกว่าร่างกาย ช่วยบำบัด อาการขี้หลงขี้ลืม และโรคสมองเสื่อม ดีต่อสายดา สมอง และระบบหมุนเวียนโลหิต
ไพไรต์จัดว่าเป็นแร่นำโชค เป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณ ดูดซับความสุขความสำเร็จมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ช่วยในการพัฒนาจิตใจ ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาปวดศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ และสมาธิสั้นมีอาการดีขึ้น บรรเทาอาการย้ำคิดย้ำ ทำให้เบาบางลงและหายไปในที่สุด

RED JASPER
เรด แจสเปอร์ เป็นหินสำหรับการวางรากฐานที่ดี ช่วยฟอกเลือด เหมาะสำหรับการรักษาความปลอดภัย และการอยู่รอด เป็นเครื่องบำบัดรักษาทางร่างกาย ช่วยทำให้หลักการในการดำรงชีวิตเรียบง่าย ช่วยปลดปล่อยความตึงเครียดซึ่งเกิดขึ้นภายในตัว มีประสิทธิภาพต่อระบบไหลเวียนภายในร่างกาย


RHODOCHROSITE
โรโดโครไซต์ เป็น หินที่มีสีแดงริ้วขาว อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า 'อินคาลอส' ตามถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและใต้ ชั้นหินจากสีชมพูถึงสีแดงเกิดเป็นลายพาดผ่าน หินสีแดงอมชมพู จะเป็นหินที่มีค่ามาก เป็นหินแห่งความรักและความสมดุล เหมาะกับคนที่รู้สึกโดดเดี่ยว ผิดหวัง อกหัก หวาดกลัว และรู้สึกไม่ปลอดภัย ช่วยให้รู้จักการให้อภัยตัวเอง เห็นความดีของตัวเอง มีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นหินที่ช่วยรักษาบาดแผล และความเศร้าใจในอดีต ให้กำลังใจ ความมั่นใจในการก้าวต่อไป รักษาความสมดุลทาง อารมณ์และร่างกาย ในแง่เกี่ยวกับความรักความเข้าใจ
ด้านการบำบัด : รักษาโรคเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนโลหิต รักษาแผล ในกระเพาะลำไส้ บำบัดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร นอกจากนั้น ยังช่วยฟอกเลือด และเหมาะกับผู้เป็นมะเร็ง โดยหินชนิดนี้ จะช่วยชำระล้าง และสร้างความสมดุลให้มากยิ่งขึ้น

RHODONITE
โรโดไนต์ หินชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ชัดเจน คือเสริมความรัก ในยามที่มีรักก็ให้พกพาโรโดไนต์ติดตัวไว้ เมื่อรักสำเร็จสมดั่งหมายก็ดีไป แต่ถ้าเมื่อใดรักมีปัญหา ก็ให้คิดถึงโรโดไนต์ เพราะหินนี้จะช่วยขจัดเมฆหมอกร้ายในชีวิตจิตใจให้ออกไปได้ ถือเป็นหินบำบัดรักษาหัวใจที่มีพลังสูงชนิดหนึ่ง คำแนะนำ ถ้าอยากให้ชีวิตจิตใจ และความรักของตัวเองเป็นสุขอยู่เสมอ ควรนำโรโดไนต์ไปให้ใครก็ตามที่กำลังมีทุกข์จากความรัก จะเป็นการแก้เคล็ดเสริมดวงไม่ให้สิ่งนั้นเกิดกับตัวเอง

ROSE QUARTZ
โรสควอตซ์ เป็นหินที่มีสีชมพูอ่อนใส หินแห่งความรักและการให้อภัย ฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กับคนที่อกหัก มีผลดีกับไต และระบบการไหลเวียนต่างๆ กระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ปกติ ทั้งยังเสริมเสน่ห์ สร้างมิตรภาพ เสริมความร่ำรวย ช่วยให้เจ้านายรักใคร่ และปกป้องคุ้มครองโดยเฉพาะเด็กแรกเกิด ถือได้ว่าหินโรสควอตซ์ เป็นหินครอบคลุมให้คุณประโยชน์ในทุกๆ ด้าน ปัจจุบันนิยมใช้หินชนิดนี้เป็นของขวัญแทนคำบอกรัก แทนความห่วงใย
ด้านการบำบัด : โรสควอตซ์เป็นหินที่มีพลังขจัดความโกรธ เกลียด หรือการอิจฉาริษยา คนที่อกหักจะช่วยให้รู้สึกรักตัวเองมากขึ้น และหากอยู่ในที่ทำงาน ที่มีสถานการณ์ยุ่งยากเลวร้าย มีคนคอยเป็นศัตรูควรพกหินโรสควอตซ์ไว้เป็นเครื่องประดับ หรือหินเป็นก้อน วางไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถทำให้เกิดความสงบขึ้นในที่ทำงานได้เช่นกัน

RUBY
ทับทิม ราชาของพลอย (King of Gems) เป็นแหล่งรวมพลังอำนาจหลายประการช่วยปกป้องผู้สวมใส่จากโรคร้าย สามารถต่อต้านพิษร้ายต่างๆ ได้ แปรเปลี่ยนความคิดที่ชั่วร้ายให้กลายเป็นความคิดที่ดี เชื่อกันว่าทับทิมจะเปลี่ยนสีเมื่อมีวิญญาณชั่วร้ายเข้ามาวนเวียนใกล้ผู้สวมใส่ ช่วยเพิ่มความกล้าหาญ และความสง่างามให้แก่เจ้าของ มีผลดีต่อสุขภาพ สร้างความมั่นคงในด้านความสงบและรุ่งเรือง เป็นหินประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ และเป็นหินประจำเดือนเกิดกรกฎาคม และธันวาคม
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าทับทิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักนิรันดร์ การแต่งงาน เสริมความรัก ความเมตตา ความร่ำรวย ปกป้องคุ้มครอง ให้ความสนุกสนาน ป้องกันฝันร้าย ทับทิมเป็นตัวแทนแห่งความรักอันบริสุทธิ์ การอยู่ร่วมกันของหญิงชาย เสริมสร้างความรัก ความเข้าอกเข้าใจ และยังใช้เป็นหินบำบัดเกี่ยวกับพลังทางเพศ

RUTILE QUARTZ
ไหมทอง เป็นควอตซ์โปร่งใส มี เส้นไหม สีทอง นาค หรือเงิน นิยมเรียกว่า ไหมทอง ไหมเงิน ไหมนาค ช่วยก่อให้เกิดความเชื่อมั่น ลบล้างพลังด้านลบ นำความร่ำรวย โชคลาภมาให้ รักษาโรคเกี่ยวกับระบบสัมผัส ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย จะนำความอุดมสมบูรณ์ และโชคลาภมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ สวมใส่ติดกายไว้หากมีการสื่อสารเรื่องเงินทอง อาจทำให้โชคดี เจรจาเป็นผลสำเร็จ หรืออาจถูกลอตเตอรี่ได้รับรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นหินสร้างความเชื่อมั่น ชำระล้างพลังด้านลบ ปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เสริมอำนาจบารมีแก่ผู้เป็นเจ้าของ
ความหมายเมื่อแยกตามสี ทั้ง 5 สี
1. ไหมทอง Gold Rutilated Quartz นำพาความมั่งคั่งร่ำรวย และทรัพย์สินและโชคลาภ อำนาจบารมีมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ
2. ไหมเงิน Silver Rutilated Quartz เรียกเงินเรียกทองให้กับผู้เป็นเจ้าของ เพียงแต่ไหมเงินนั้น จะหนักไปทางเงินๆ ทองๆ มากกว่าอำนาจ
3. ไหมนาค Pink Rutilated Quartz ให้คุณเช่นเดียวกับไหมทอง และช่วยหนุนในด้านเมตตา และเด่นในเรื่องการเยียวยารักษาสุขภาพ การปกป้องคุ้มครองเจ้าของ
4. ไหมดำ Black Rutilated Quartz ทำให้ผู้ครอบครองเกิดความเจริญ รอดพ้นภัยพิบัติ ป้องกันคุณไสย ภูตผีปีศาจต่างๆ อย่างดีเยี่ยม เสมือนเป็นเครื่องรางของขลัง
5. ไหมเขียว Green Rutilated Quartz ปกป้องคุ้มครองเจ้าของให้พ้นภัย ขจัดความเครียด ทำให้ใจสงบ ส่งเสริมให้เจ้าของสามารถรับรู้จิตใจและอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเอง ลดส่วนเกินในจิตใจให้เกิดความสมดุล ช่วยขจัดความชั่วร้าย เสริมความสุข

STRAWBERRY QUARTZ
สตอเบอรี่ควอตซ์ เป็นหินแห่งความสุข ทำให้มีอารมณ์ขัน - ดีสำหรับการตามหารักแท้ - เข้าใจในความคิดที่ถูกต้อง และดินทางไปในหนทางที่ดี - มีความสงบและเคารพรักตัวเอง - ฟื้นฟูพลังให้หายจากการเหนื่อยล้า ทั้งทางร่างกายและจิตใจ


SUGILITE
ซูกิไลต์ นำโชคเสริมดวง เพิ่มพลังความสมดุลของร่างกายและจิตใจ ช่วยกำจัดความไม่มั่นใจในตนเอง เสริมสร้างความคิดริเริ่ม ทำให้มีสมาธิ มีความจำที่ดีขึ้น

SUPER SEVEN
หินซุปเปอร์ 7 เป็นหินที่มาจากประเทศบราซิล มีความแข็งประมาณ 7 โมห์ ประกอบด้วยแร่หินที่มีคุณสมบัติโดดเด่น 7 ชนิดในเนื้อหินเดียวกัน แยกได้ ดังนี้
Amethyst (อเมทิสต์) ช่วยในเรื่องการตัดสินใจ รักษาความจำ ช่วยในเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว การติดต่อประสานงานกับคนหมู่มาก
Crystal Quartz (คริสตัล ควอตซ์) ช่วยเพิ่มทักษะการสื่อสาร การฟัง ให้พลังงานเพิ่มพูนสติปัญญา
Smokey Quartz (สโมกี้ ควอตซ์) ช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ช่วยผ่อนคลายจิตใต้สำนึกได้เป็นอย่างดึ จึงช่วยให้เกิดความเฉียบแหลมในการทำธุรกิจ
Cacoxenite (คาโคซีไนท์) ช่วยเพิ่มความรู้สึกเชิงบวก เพิ่มพลังการให้ และการรับพลังแห่งเมตตา
Goethite (เกอไทท์) ช่วยลดความกังวลในจิตใจ สร้างสมาธิได้อย่างรวดเร็ว ทำสมาธิได้ดีในยามที่ต้องการ
Lepidocrosite (เลพิโดโครไซต์) ช่วยในเรื่องการเรียนรู้ได้ไว ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจในการแสวงหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ
Rutile (รูไทล์) ช่วยพัฒนาร่างกายและจิตวิญญาณ มอบความแข็งแกร่ง ให้โชคเรื่องความรัก ปัดเป่าโชคร้าย คุ้มครองให้พ้นภัย
ซึ่งแร่ทั้ง 7 จะช่วยในการเสริมสร้างความสามารถ พลังพิเศษในการเชื่อมต่อทุกจักระในร่างกายของมนุษย์ ช่วยในการรักษาสมดุล และทักษะทางพลังจิต ได้แก่ การฝึกกระแสจิต ตาทิพย์ การส่งถ่ายพลังงาน และเป็นเหมือนหินที่ช่วยในการขยายกำลังของหินชนิดอื่นๆที่อยู่รอบๆให้มีพลังแรงขึ้น นักภาวนาหรือผู้ที่ใช้หินในการทำสมาธิและการบำบัดจึงนิยมหินชนิดนี้ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ไม่มีในหินชนิดใด และถือเป็นหินที่สามารถเก็บพลังงานได้ดีเยี่ยม โดยไม่ได้ต้องล้างพลังงานในหิน เพราะหินจะมีการปรับสมดุลภายในตามธรรมชาติด้วยตัวเอง

TIGER EYE
พลอยตาเสือ มีสีเหลืองเหลือบลายน้ำตาล มีคุณสมบัติส่งผลดีต่อ จิตใต้สำนึก สามารถค้นหาสิ่งดี ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเราช่วยบรรเทาอาการปวดศรีษะ เป็นหินที่พลังปกป้องคุ้มครองสูง มีคุณสมบัติในการพัฒนาญาณหยั่งรู้ ให้เกิดในรูปของการมองเห็น เหมาะกับการใช้นั่งสมาธิ ช่วยกระตุ้นพลังชีวิต และพลังความคิดให้เกิดแรงบันดาลใจ ลดความเครียด ช่วยขจัดปัดเป่าฝันร้าย ขับไล่วิญญาณไม่ให้มาใกล้ หากรู้สึกว่าหินที่สวมใส่อยู่เกิดร้อนวูบวาบ แปลว่าหินกำลังเตือนให้คุณหยุดนั่งสงบจิตใจ หรือควรหาเวลานั่งสมาธิบ้าง

TURQUOISE
เทอร์ควอยซ์ เสริมพลังอำนาจบารมีทั้งชาย และหญิง ช่วยให้สติปัญญาดี และมีความสามารถเหนือผู้อื่น แคล้วคลาดปลอดภัย และมีชัยชนะเหนือศัตรู สำหรับผู้หญิงที่มีหน้าที่การงานใหญ่โต หรือเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัว ควรมีหินชนิดนี้พกติดตัวไว้เป็นเครื่องประดับ อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะหินชนิดนี้จะส่งพลังให้ลูกน้องบริวารจะจงรักภักดีมีความซื่อสัตย์ต่อคุณ และยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องเดินทางไกลบ่อยครั้ง


UNAKITE
ยูนาไคต์ ชื่อนี้มาจากภาษากรีก Epidosis มีความหมายว่า "เติบโตไปด้วยกัน" ยูนาไคต์นั้นประกอบด้วยแจสเปอร์สีแดงและแร่เอพิโดตสีเขียว ความหมายก็คือ "อะไรที่มาด้วยกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งกันและกัน" ยูนาไคท์นั้นถูกกล่าวว่าจะช่วยยกระดับจิตใจของผู้สวมใส่ เมื่อรู้สึกจิตใจตกต่ำจะทำให้มองเห็นความสวยงามในชีวิต และช่วยใช้เปิดโปงความหลอกลวง ช่วยค้นหาสิ่งที่หายไป เป็นหินที่ส่งเสริมพลังงานด้านบวก ช่วยให้ยอมรับความรักและความห่วงใยจากผู้อื่น ทำให้มองเห็นความเป็นตัวเอง ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ผู้สวมใส่ยึดมั่นในเป้าหมายและความปรารถนาของตน และมั่นใจในการก้าวไปสู่เป้าหมายนั้น หากสวมใส่ติดตัวประจำจะนำพาโชคลาภ หรือชนะในการเสี่ยงทาย เปิดดวงด้านลาภลอยต่างๆ

VARISCITE
วาริสไซต์ เป็นหินแห่งความโชคดี ซึ่งนำความสำเร็จมาให้ทั้งในด้านความรักและการเงิน เป็นหินแห่งกำลังใจและความหวัง สีฟ้าของเทอร์ควอยซ์ยังช่วยคลายเครียด ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับอาการเจ็บป่วยและอาการอ่อนเพลีย ช่วยเปิดจักระหัวใจ และยังนำมาซึ่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ช่วยรักษาระบบประสาท อาการปวดแน่นท้องและเส้นเลือดตีบ เสริมสร้างพลังงานและความยืดหยุ่นของเส้นเลือดและผิวหนังของร่างกาย
ด้านการบำบัด: แก้อาการเหนื่อยเรื้อรัง ทำให้มีความคิดกระจ่างใส และหลับสบาย ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ไม่แข็งกระด้างจนทำให้หลอดเลือดตีบตัน รักษาโรคเก้าส์ รูมาติซึม ตะคริว รักษาอาการไมเกรน

ZOISITE with RUBY
ซอยไซท์ วิท รูบี้ ช่วยเสริมสติปัญญา เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้คนที่ขาดความกระปรี้กระเปร่า เฉื่อยชา กระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองและสนใจสิ่งรอบข้างดีขึ้น เสริมความกล้าหาญ กล้าคิดกล้าทำ เสริมความมั่งคั่งร่ำรวย ดีกับเรื่องความรัก ผู้หญิงอัฟริกันมักจะสวมสร้อยคอประดับหินชนิดนี้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือผู้ชาย ทำให้คนหลงไหลในเสน่ห์ พูดจาอะไรจะมีคนรักใคร่เชื่อถือ และมีคนเกรงอกเกรงใจ



Cr. Facebook

ซีอิ๊ว


 ซีอิ๊วนั้นจะว่าไปก็ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของชาวตะวันออกอย่างแท้จริง 


กล่าวย้อนไปในสมัยอดีตนั้น ซอสปรุงรสเค็ม ในจักรวรรดิโรมันเองก็เกิดวัฒนธรรมการใช้ซอสเหมือนบ้านเรา แต่เขาจะเรียกว่า การุม/ลิควาเมน ซึ่งนัยหนึ่งก็คือน้ำปลาฝรั่ง(หมักจากแอนโชวี่และเกลือ)นั่นเอง
แต่เหนือจากนั้นทางซีกโลกตะวันตก ความนิยมใช้เกลือเป็นส่วนประกอบในการอาหารมากกว่า แต่ก็เกิดวัฒนธรรมคู่ขนานอีกก็คือ แมกกี้(ซอสปรุงรส)นั่นเอง แต่ถ้าเทียบกับประวัติการทำซีอิ๊วนั้นก็ถือเสียว่าตามหลังอยู่มากโข

คนจีนนั้นรู้จักถั่วเหลืองมานานแล้ว ตั้งแต่สมัน 3500ปีที่แล้ว ว่ากันว่าซีอิ๊วนั้นเกิดขึ้นในราชวงศ์จู(246-1134ปี ก่อนคริสตกาล) โดยเรียกมันว่า chiang/jiang แต่ก็ว่ากันว่าซีอิ๊วในสมัยนั้นอาจไม่ได้มีวิธีการผลิตอย่างสมัยนี้ แต่เป็นถั่วเหลืองหมักทั้งเมล็ดจนพัฒนาเป็นเต้าเจี้ยวเเบบเมล็ด และแบบข้นเช่นมิโสะญี่ปุ่น จนพัฒนาเป็นน้ำกรองจากถั่วเหลืองหมักกับข้าวและน้ำเกลือ
ล่วงเข้าถึงสมันราชวงศ์ซ้อง(ค.ศ.960-1279) ซีอิ๊วจึงเริ่มแพร่หลายมาก ถึงขั้นเป็น 1ใน7สิ่งจำเป็นของวิถีจีน คือ ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ น้ำส้มฯ ชา ซีอิ๊ว และในสมัยนี้ คำว่า chiang ก็เริ่มทีความหมายเจาะจงถึงซีอิ๊ว ไม่ใช่หมายถึงถั่วเหลืองหมักเหมือนเมื่อก่อน ดังที่ต่อมาจีนได้เรียกซีอิ๊วว่า "เจี่ยงอิ้ว" และรับต่อไปถึงญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นนั้นเริ่มใช้ซีอิ๊วมาจากการทำมิโสะก่อนที่จะเอามาหมักกับข้าวคั่วและน้ำเกลือเพื่อกรองเป็นซีอิ๊ว ช่วงปีค.ศ.1561-1661 ซีอิ๊วยี่ห้อ คิคโคแมน เริ่มหมักที่หมู่บ้านโนดะทางตะวันตกของเอโดะ จนปี 1630 โชยุนั้นก็ได้แพร่หลายจนกลายเป็นวิถีการกินของคนญี่ปุ่น
และถึงจะมาทีหลังแต่ดังกว่า โชยุนั้นดูจะแพร่หลายโด่งดังมากกว่าต้นแบบของมันเสียอีก รากศัพท์ของโชยุ มาจากภาษาจีนกวางตุ้งที่เรียกซีอิ๊วว่า ซิโหย่ว ภาษาจีนกลางว่า ซิยุ

ซีกโลกตะวันตกเพิ่งรู้จักซีอิ๊วครั้งแรกจากญี่ปุ่น โดยนำเข้ามาเมื่อช่วง คริสตศตวรรษที่17 โดยพ่อค้าชาวฮอลันดา โดยเรียกมันว่า โซย่า(soya) ลือกันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่15 โปรดปรานมันมาก
ภาษาอังกฤษได้เรียกชื่อของมันตามคำว่า soya/soy ตามภาษาดัตช์ เหมือนที่เรียกถั่วเหลือง จนภายหลังได้เปลี่ยนชื่อมันเป็น soy sauce จนปัจจุบัน

คนจีนนั้นเมื่ออพยพไปที่ไหนก็จะเอาซีอิ๊วไปที่นั่น เช่น เกาหลี อินโดฯ ฟิลิปินส์ เวียดนามฯลฯ
ในไทยนั้นเรียกชื่อตามสำเนียงแต้จิ๋ว ว่า "ซีอิ๊ว" ซึ่งแปลว่า "ซอสถั่วเหลือง"
แต่การหมักซีอิ๊วของคนจีนในไทยแรกๆกลับเป็นของคนกวางตุ้ง ที่มาค้าขายในไทยโดยหมักขายเองใช้เองในร้านขายของชำ จนต่อมาเริ่มมีอุตสาหกรรมมากขึ้นจึงขยับขยายเป็นโรงงานเช่น หยั่นหว่อหยุ่น หรือง่วนเชียง ก็พัฒนามาจากซีอิ๊วร้านชำนี่หละ


การผลิต
ซีอิ๊วเป็นซอสที่เกิดจากการหมัก ดังนั้นจะเปรียบกับไวน์ก็คงไม่เกินเลยไปนัก โดยพื้นฐานนั้นซีอิ๊วเกิดจากปฏิกิริยาของถั่วเหลืองในน้ำเกลือ โดยมีเชื้อราเป็นตัวเริ่ม ข้าวสาลี/แป้งอื่นๆ ผสมกันให้เกิดความกลมกล่อมขึ้น

ถั่วเหลือง
ถั่วเหลือที่ดีคือถั่วเหลืองที่มีปริมาณโปรตีนมาก ถั่วเหลืองที่ใช้ทำซีอิ๊วมักเลือกขนาดเล็กแต่มีโปรตีนมาก เปลือกหนาเหนียวไม่แตกง่ายเวลาต้ม ว่ากันว่าถั่วที่ดีที่สุกนั้นมาจากแมนจูเรียในจีน
บางครั้งการใช้ถั่วเหลืองในการหมัก จะใช้ถั่วเต็มเมล็ด หรืออาจใช้กากถั่วเหลืองที่สกัดน้ำมันเอาไปทำน้ำมันถั่วเหลืองแล้วก็ได้

ข้าว/แป้ง
โดยทั่วไปมักใช้ข้าวสาลี เพราะรสและกลิ่นหอมมากกว่าข้าวอื่นๆ แต่ซีอิ๊วบางชนิด อาจไม่ใส่เลยก็ได้
ข้าวที่มหักนั้นก็มีหลายทั้งแบบคั่วแล้วโม่ละเอียด หรือแบบแป้งสาลีไปเลย

เชื้อรา
Aspergillus oryza และ A. soyae เป็นเชื้อที่นิยมเอามาใช้เพราะประสิทธิภาพสูงในการสร้างเอนไซม์ เพาะเลี้ยง่าย และเมื่อหมักไปเชื้อก็จะค่อยๆตายไปเอง เราใช้เชื้อราแค่เป็นตัวเร่งการสลายโปรตีนเท่านั้น
เชื้อAspergillus oryza นำมาใช้ในการผลิตเหล้าเหลืองด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รสหรือกลิ่นของเหล้าจีน บางคนว่าคล้ายซีอิ๊ว

น้ำเกลือ
นิยมใช้เกลือทะเลละลายน้ำ โดยเข้มข้นที่17-22% ซึ่งพอที่ยับยั้งไม่ห้แบคทีเรียที่ทำให้เน่าเติบโต และไม่เข้มเกินไปที่จะทำให้จุลินทรีย์จากเชื้อราโตได้

แสงแดด
เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงแดดดีก็จะทำให้การหมักเร็วขึ้น การผลิตซีอิ๊วในไทย จึงใช้เวลาสั้นกว่าของชาติอื่น แต่ในปัจจุบันใช้การคุมอุณหภูมิแทนแล้ว ซึ่งสะดวกกว่ามาก


ระยะเวลาหมัก
หมัก1ปี กลิ่นดี
หมัก2ปี รสดี
หมัก3ปี สีดี
ระยะเวลานั้นมักอยู่ที่6-8เดือน แต่อย่างน้อยก็ต้องหมัก1-2เดือน ถึงจะได้ซีอิ๊ว ยิ่งหมักสั้น สีจะอ่อนและเค็มจัด แต่เมื่อหมักต่อๆไปสีจะเข้มขึ้นงและรสเค็มลดลง ความหนืดก็เพิ่มขึ้น กรดอะมิโนเยอะขึ้น
ซีอิ๊วที่หมักได้ตามเวลานั้นจะได้สีน้ำตาลแดงเข้ม จนผ่านไปสีจะเข้มจนถึงดำ  แต่ถ้าสีจางๆ เกิดจากใช้ตัวเร่งให้เกิดการหมัก เช่นการใช้ความดันเร่งให้หมักไวขึ้น หรือแม้ระทั่งการที่ผสมน้ำเกลือเจือจางมากเกินไป ทำให้ได้ซีอิ๊วคุณภาพต่ำ


วิธีทำ

- ถั่ว เหลือง 0.5 กก.
- แป้งสาลี หรือแป้งข้าวเจ้า 150 กรัม
- ส่าเชือ 1-2 ช้อนชา
- น้ำเกลือ (17-22% การเตรียมน้ำเกลือควรทำล่วงหน้าไว้ก่อน 1 วัน) 2 ลิตร

-นำถั่วเหลืองมาล้างสิ่งปนเปื้อน แช่น้ำ8-10ชั่วโมง โดนเปลี่นน้ำตลอดด้วยวิธีน้ำล้น เพื่อป้องกันการเน่าเสีย
-นึ่งถั่วเหลืองให้สุกแล้วผึ่งแห้ง
-นำผสมกับแป้งและเชื้อรา แล้วเกลี่ยทิ้งไว้3-4วันจะมีเส้นใยเกิดขึ้น ก็จะได้ก้อน"โคจิ"
-น้ำโคจิใส่ถังหมัก เติมน้ำเกลือจนท่วม เพื่อให้ไดโมโรมิ หลังจากเตรียมโมโรมิแล้วจะทิ้งไว้ให้เกิด
การหมักขึ้น คนสัปดาห์ละครั้งเพื่อไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก และยังยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการ หมักภายใต้แสงแดด แต่ไม่ให้โดนน้ำค้างและน้ำฝน
-ถ้าเป็นการหมักแบบธรรมชาติ ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิจะใช้เวลาในการหมัก 12-14 เดือน แต่ถ้ามีการควบคุมอุณหภูมิช่วง 35-40 องศาC ระยะเวลาในการหมักและการบ่มจะเหลือเพียง 2-4 เดือน
-ได้ที่แล้วเอามากรอง โดยใช้ผ้าบิด หรือเครื่องอัด
-ในตอนท้ายอาจมีน้ำมันถั่วเหลืองปนมาด้วย จึงมักทิ้งไว้4วันให้น้ำันลอยแล้วแยกออก
-พาสเจอไรซ์ บรรจุขวด




ซีอิ๊วจีน


  • light เชิงโชว/เจียงชิง รสเบา ไม่หนืดข้น ทึบแสง และสีน้ำตาลดำ ถือว่าเป็นตัวแม่บทของซีอิ๊วทุกชนิด  แยกย่อยไปอีกก็จะมี 
  • touchou ทำจากถั่วเหลืองน้ำแรก เหมือนextra virgin olive oil 
  • shuanghuang หมักสองครั้ง ซึ่งรสจะซับซ้อนขึ้นไปอีก ซึ่งจริงแล้วก็ยากในการจำแนก แต่รวมๆแล้วก็มักไว้ใช้จิ้ม
  • dark/old เล่าโฉว สีเข้มและข้นหมักนาน ใส่โมลาส ซึ่งเป็นลักษณะเด่น นิยมใส่ในระหว่างทำอาหารกลิ่นจะเปลี่ยนหลังได้รับความร้อน รสจะคมขึ้นเเละหวานเล็กๆ รสมักจะเค็มน้อยกว่าแบบขาว โดยมากจะใส่เพื่อให้สีและกลิ่น มากกว่าให้รสเค็ม
  • thick เจียงโย่วเกา ซีอิ๊วดำข้นและด้วยแป้งและน้ำตาล บางทีใส่ชูรสลงไปผสมมักใช้จิ้ม หรือราดลงไปในอาหารเพื่อเติมกลิ่น
  • dark soy paste/เต้าเจี้ยว ฮวงเจียง แม้ว่าไม่ใช่ซีอิ๊วแต่ก็ถือว่าเป็นแบบหนึ่งของซีอิ๊วเป็นวัตถุดิบหลักของ จาเจี้ยงเมี่ยน จริงๆแล้วมันก็คือเต้าเจี้ยวนั่นหละ
  • ซีอิ๊วนึ่งปลา ใช้ซีอิ๊วขาวมาผสมกับยีสต์สกัด(ซอสปรุงรส)เพื่อกลิ่นที่เข้มข้นขึ้น



ญี่ปุ่น


  • Koikuchi  ซีอิ๊วแบบฝั่งคันโต ใช้แทบทุกอย่างในอาหารญี่ปุ่น เกือบ80%  ถือเป็นซอสแม่บท ทำจากถั่วเหลืองและข้าวสาลีในปริมาณที่พอๆกัน ใช้ชื่อkijoyu/namashoyu ในแบบที่ไม่พาสเจอไรซ์
  • Usukuchi   ซีอิ๊วแบบฝั่งคันไซ เค็มและใสกว่า Koikuchi
  • Tamari   ถือกำเนิดมาจากตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นChubu region ทามาริเข้มกว่าทั้งสีและรส ใส่แป้งสาลีน้อย/ไม่ใส่เลย ซึ่งเหมาะสำหรับการไดเอทแบบไม่มีแป้ง(แอทกินส์) ซึ่งต้นแบบของโชยุชนิดนี้มาจากจีน โดยเริ่มจากการหมักมิโซะ จะได้miso-damari หรือที่เรียว่ามิโซะน้ำนั่นเอง
  • Shiro  สีอ่อนมาก ตรงข้ามกับทามาริ ใช้ข้าวสาลีมากและถั่วน้อย รสเบาและอมหวาน มักใช้ในแถวคันไซ เช่นใช้กับซาชิมิ
  • Saishikomi(ต้มสองครั้ง) รสดี เข้มข้น และก็ถือว่าใช้แทนกันได้กับ tamari แต่ก่อนทำจากการหมักถั่วเหลืองต่อกับ koikuchiแทนการใช้น้ำเกลือ ดังนั้น จะดำกว่าและรสแรงกว่า โดยมีอีกชื่อว่า kanro shoyu หรือโชยุหวาน


    โชยุแบบใหม่ๆของญี่ปุ่น

  • Gen en(เกลือน้อย)  เค็มน้อย โดยเป็นทางเลือกหนึ่งของโชยุ
  • Amakuchi  เป็นโชยุของฮาวาย พัฒนาจากkoikuchi


   เกรดของโชยุ

  • Honjozo hoshiki  100% หมักธรรมชาติ
  • Shinshiki hoshiki  30-50% หมักธรรมชาติ
  • Tennen jozo เทนเนน โจโซ แปลว่าไม่ใส่แอลกอฮออล์


  เกรดของโชยุสำหรับการขาย

  • Hyojun เฮียวจุน ปกติ พาสเจอไรซ์
  • Tokkyu ทคคิว คุณภาพพิเศษ ไม่พาสเจอไรซ์
  • Tokusen โทคุเซน เกรดดีมาก ผลิตน้อยโดย ผลิตเป็นครั้งคราวเท่านั้นและไม่จัดอยู่ในกับการแบ่งเกรด
  • Hatsuakane ฮัทสึอาคาเนะ เกรดอุตสาหกรรม สำหรับผลิตเป็นกลิ่นหรือเป็นผงสำเร็จรูป
  • Chotokusen ชตโตะคุเซน สำหรับซื้อขายในตัวแทนจำหน่าย ถือว่าเป็นเกรดตัวอย่าง



อินโดนีเซีย

ซีอิ๊วในอินโดถือได้ว่าเป็นประเทศที่นิยมใช้และผลิตซีอิ๊วได้ดีมากแห่งหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากในอดีต คนจีนอพยพมาจากแผ่นดินจีนตอนใต้ ซึ่งในอาหารอินโดก็ถือว่าเป็นส่วนผสมของวัฒนธรรมการกินแบบจีนอยู่พอสมควร

  • Kecap asin เคชัป อาซิน  ซีอิ๊วรสเค็ม คล้ายซีอิ๊วขาวจีน แต่เข้มกว่าและกลิ่นจะหนักแน่นกว่า สามารถใช้เเทนกันได้
  • Kecap manis เคชัป มานิส ซีอิ๊วหวาน ข้นเป็นน้ำเชื่อม มีกลิ่นของโมลาสเพราะใส่น้ำตาลโตนด สามารถใช้โมลาสกับสต๊อกผักแทนได้
  • Kecap sedang กึ่งกลางระหว่างKecap asinและKecap manis
  • Kecap inggris วูสเตอรซอส
  • Kecap Ikan น้ำปลา


ไต้หวัน
ซีอิ๊วไต้หวันได้อิทธิพลจากทางฟูเจี้ยน/กวนตง ซึ่งแยกกับจีนตอนเกิดสงคราม ดังนั้น ซึ่งซีอิ๊วไต้หวันนั้นจึงมีพื้นฐานจากจีน แต่ใช้วิธีการผลิตแบบญี่ปุ่น โดยรวมถือว่าเป็นประเทศที่ผลิตซีอิ๊วได้รสดีมากเลยทีเดียว

เกาหลี
Joseon ganjang เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจาก doenjang(เต้าเจี้ยวเกาหลี) ใสและสีน้ำตาลดำ บางชนิดทำจากถั่วเหลืองกับน้ำเกลือ ส่วนความเค็มนั้นผันผวนตามผู้ผลิต มักใช้แยกกัน

  • สีส้ม - สำหรับจิ้ม
  • สีเหลือง - สำหรับปรุงซุป
  • 510s - เกรดพรีเมี่ยม


เวียดนาม
เวียดนามก็ใช้ซีอิ๊วเหมือนกัน โดยรัยกว่า xi dau /เนื้อก เทือง

มาเลเซีย
ในสิงคโปร์+มาเลเซีย จะเรียกว่า douyou ซีอิ๊วดำ jiangyou และซีอิ๊วขาว jiangqing angmoh tauyew (อั่งม๊อ เต้ายิ้ว)เป็นชื่อจีนฮกเกี้ยนของ วูสเตอร์ซอส
มาเลเซียมีวัฒนธรรมคล้ายอินโดฯ ใช้คำว่า kicap กับ ซีอิ๊ว โดยมี2แบบคือ

  • Kicap lemak เหมือน manis แต่น้ำตาลน้อยกว่า
  • kicap cairเหมือน asin


ฟิลิปินส์
เรียกว่า toyo สีสันนั้นใกล้เคียงกับpatis(น้ำปลา)และsuka(น้ำส้มอ้อย) รสของมันมาจาก ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เกลือและคาราเมล ใสและเค็ม คล้ายโชยุ ใช้ตั้งแต่หมักยันปรุง โดยมักเสิร์ฟคู่กับ ส้มจี๊ด

ฮาวาย
เอกลักษณ์คือ Aloha Shoyu Company since 1946 เป็นซีอิ๊วผสมพิเศษจาก ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เกลือ
เกิดในช่วงที่คนญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ บางทีเรีัยกว่า show you แผลงจากคำว่า โชย


ซีอิ๊วในไทย


  • ซีอิ๊วขาว  บ้านเรานั้นผลิตซีอิ๊วใสกว่าชาวบ้าน อาจเพราะอากาศก็เป็นได้ทำให้สีของซีอิ๊วบ้านเราอ่อนกว่าของชาติอื่นๆเขา อาจเพราะบ้านเรายึดติดกับน้ำปลา จึงต้องทำสีให้ใกล้เคียง เมื่ออยู่ในตลาดโลก จึงอยู่ในตำแหน่ง thin soy sauce  ส่วนซีอิ๊วขาวจีน อยู่ที่ regular soy sauce แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บ้านเราถึงว่าผลิตซีอิ๊วออกมาได้ไม่เลวทีเดียวหละ
    โดยจำแนกตามสูตรได้ดังนั้น
    สูตรทอง หัวซีอิ๊วทำจากถั่วเหลืองคุณภาพดีที่สุด หอมที่สุด สีเข้มที่สุด
    สูตร1 หัวซีอิ๊ว กลิ่นรองลงมาแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
    สูตร2 เอาสูตร1มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือฃ
    สูตร3 เอาสูตร1ผสมสูตร2มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือ
    สูตร4 หางซีอิ๊ว เอาสูตร1(น้อย)ผสมสูตร2และสูตร3 มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือ
    สูตร5 เอาหางซีอิ๊วมาผสมกับกากน้ำตาล แล้วปรุงรสเป็นซีอิ๊วดำชนิดหวานแบบใสๆ
  • ซีอิ๊วดำเค็ม/หน่ำเฮียง  เป็นสูตรของจีนทางใต้ กระบวนการผลิตยุ่งากโดยอาจไม่ใช้แป้งเลย ใช้ถั่วเหลืองหมักล้วนๆ หมัก2-6เดือน เมื่อเสร็จแล้วเอามาต้มเคี่ยวอย่างน้อย5ชั่วโมง อาจเติมเครื่องเทศต่างๆเช่น อบเชน ลูกจันทน์ โป่ยกั๊ก พริกไทยฯลฯ รสเค็มจัดเเละโปรตีนมากกว่าซีอิ๊วขาว บางโรงงานมักใช้กากซีอิ๊วมาผสมน้ำเกลือแต่งสี แล้วนำออกขาย
  • ซีอิ๊วดำหวาน มักใช้ซีอิ๊วขาวมาผสมน้ำตาลให้หวานโดยมากมักใช้หางซีอิ๊วมาผสมกากน้ำตาลบางยี่ห้อจริงๆถึงใช้น้ำตาลทรายผสม ถือว่าเป็นเกรดดีโดยแบบชั้นเลวจะใช้น้ำเกลือผสมกากน้ำตาลแล้วแต่งสี รส กลิ่น เพื่อลดต้นทุน
  • จิ๊กโฉ่ว  ตามจริงแล้ว จิ๊กโฉ่วถือว่าเป็นน้ำส้มสายชูมากกว่าซีอิ๊วมักทำโดยการเอาซีอิ๊วขาวมาหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูประมาณ1เดือนแต่บ้านเรามีแบบชั้นเลวคือ จิ๊กโฉ่วปลอม ทำโดยการเอาซีอิ๊วผสมน้ำส้มสายชูเลย ซึ่งราคาจะถูกมาก พยามอย่าใช้
  • ซอสปรุงรส  จริงๆแล้วมันไม่ใช่ซีอิ๊ว แต่วัตถุดิบแทบจะไม่ต่างกันเลยโดยการใช้วิธีหมักแบบกึ่งเคมี คือเอากรดเกลืออ่อนๆมาช่วยเร่งการสลายโปรตีน แล้วปรับสภาพให้เป็นกลาง แต่งกลิ่น/รส ซึ่งบ้านเรามักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซีอิ๊ว จริงๆแล้วสี รสและกลิ่นจะคนละอย่างกันเลย


ประวัติซอสปรุงรสของทางฝรั่งนั้น เกิดจากนาง จูเลียส แมกกี้ ได้อยากให้คนงานทั่วไปได้รับสารอาหารจากผักมากขึ้นจึงงใช้โรงงานที่บ้านตัวเองพัฒนาสูตรซุปผักขึ้นมา ซึ่งภายหลังได้รับความนิยมมาก และกลายเป็นซอสปรุงรสยี่ห้อ"แมกกี้" ที่รู้จักไปทั่วโลก จะว่าไปซอสตระกูลนี้จะมีกลิ่นยีสต์ค่อนข้างแรง ใครเคยกิน เวจจี้ไมท์/มาร์ไมท์ ของออสเตรเลียฯจะรู้สึกได้ว่ารสมันคล้ายๆกัน

โดยซอสปรุงรสบ้านเราเรียกว่า ซอสภูเขาทอง รสเหมือนแมกกี้ โดยแบ่งเกรดตามสีฝา เรียงจาก เหลือง แดง เขียว น้ำตาล ซึ่ง
ฝาเหลืองจะใช้ถั่วเหลืองที่มีปริมาณโปรตีนมากที่สุด
ส่วนอีก3ฝา จะใช้ถั่วเกรดเดียวกันแต่ปริมาณของถั่วต่างกัน

เนื้อหาจาก น้าบัง
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/12/D7327782/D7327782.html

รูปจาก
http://www.chinesetimeschool.com/th-th/articles/preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce/

มหัศจรรย์ "เอนไซม์" มนุษย์อาจอายุยืนได้ถึง 120 ปี

ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีมากพอเพียง มนุษย์อาจอายุยืนถึง 120 ปีได้ เพราะเซลล์ในร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกาชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ (Low Enzyme level) โอกาสที่ท่านจะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เกิดได้ง่ายมาก ดร.ฮัมบาท แซนติลโล ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "เอนไซม์ในอาหาร" (Food Enzyme) โดยอ้างอิงจากวารสารการแพทย์ของประเทศสกอตแลนด์มีความตอนหนึ่งว่า คนเราแต่ละคนหรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ควรจะพิจารณาว่าแท้ที่จริงสุขภาพ (Health) ของเขาคือปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ (Integrate) เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้ทุกเซลล์ของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติสุข


นั่นเป็นข้อความหนึ่งจากหนังสือ "เอนไซม์ กุญแจแห่งชีวิต" เขียนและรวบรวมโดย ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์


หลายคนอาสงสัยว่า เอนไซม์ คืออะไร? แล้วคำถามต่อมาก็คือเราจะมีเอนไซม์ที่มากพอได้ด้วยวิธีใด?


เอนไซม์ คือโปรตีนที่มีลักษณะเป็นก้อน รูปร่างของโปรตีนจะเป็น กรดอะมิโน ต่อกันเป็นสายยาวๆ มีคุณสมบัติเร่งปฏิกิริยาเคมีที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต ทุกๆเซลล์ของร่างกายซึ่งมีรวมกว่า 60 ล้านเซลล์ ถ้าไม่มีเอนไซม์ ร่างกายก็จะไม่มีการหายใจ ปราศจากการย่อยอาหาร ไม่มีการเจริญเติบโตของร่างกาย การคิดและแม้แต่การนอนก็ต้องใช้เอนไซม์ ดังนั้นถ้ามนุษย์ขาดเอนไซม์ ชีวิตย่อมอยู่ไม่ได้


เอนไซม์สามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ


1. เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) จะพบได้ในอาหารดิบทุกชนิดถ้ามาจากพืชและสัตว์ แต่ถ้าอาหารนำมาปรุงแต่งโดยใช้ความร้อน เช่น ต้ม ปิ้ง จะทำลายเอนไซม์ในอาหารได้โดยง่าย เอนไซม์จะช่วยย่อยหารที่เรากินเข้าไป ความร้อนที่สูงเกินกว่า 47 องศาเซลเซียส จะทำลายเอนไซม์ ซึ่งอาหารเหล่านั้นก็จะเป็นอาหารที่ตายซากแล้ว


แต่ใครจะรับประทานอาหารที่ใช้ความร้อนต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อสัตว์ ดังนั้นส่วนใหญ่อาหารที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยไม่ผ่านความร้อนถึง 47 องศาเซลเซียส ก็น่าจะมาจากพืช ผัก ผลไม้เป็นหลักเท่านั้น ถ้าจะมีเนื้อสัตว์ที่มนุษย์จะนิยมรับประทานกันโดยไม่ผ่านอุณภูมิความร้อนกเกินกว่า 47 องศาเซลเซียส ได้ก็น่าจะอยู่เฉพาะใน "ปลาดิบ"เท่านั้น


เช่นเดียวกันอาหารเสริมที่บางคนแอบอ้างว่าเป็นเอนไซม์ ถ้าเป็นกระบวนการทางอุตสาหกรรมและผ่านความร้อนเอนไซม์เหล่านั้นก็ถือว่าถูกทำลายไปหมดแล้วเช่นกัน


2. เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) เป็นเอนไซม์ที่มาจากร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตออกมาจากตับอ่อน (Pancreas) เพื่อใช้ย่อยอาหารและดูดซึมอาหารที่เรากินเข้าไป ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่า


3. เอนไซม์จากจุลินทรีย์ (Microorganism Enzyme)ซึ่งจุลินทรีย์สามารถผลิตเอนไซม์ปริมาณมากๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะจุลินทรีย์เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วและมีขนาดเล็ก ในการนี้ควรจะต้องมีการคัดสายพันธุ์เพื่อให้เหมาะสมกับเอนไซม์ที่ได้ด้วย


4. เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic Enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อการเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน สร้างความเจริญเติบโต ตลอดจนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยเอนไซม์ตัวนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี


ความจริงแล้ว เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) กับ เอนไซม์ย่อยอาหาร เอนไซม์ที่ได้จากจุลินทรีย์ (Microorganism Enzyme) ก็มีทุกอย่างเหมือนกับ เอนไซม์ที่ผลิตจากร่างกาย (Digestive Enzyme) เพียงแต่จากต่างกันที่แหล่งที่มาเท่านั้น


นอกจากนี้ถ้าเรากินอาหารที่ไม่ดีหรือมีเอนไซม์น้อย เช่น รับประทานเนื้อสัตว์ย่างหรือทอดมากๆ ร่างกายก็ต้องใช้เอนไซม์ในร่างกายเพื่อย่อยอาหารอย่างหนัก เมื่อไม่เพียงพอก็ต้องนำเอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงานมาใช้ร่วมด้วย เมื่อใช้งานหนักมากขึ้นไปเรื่อยๆ การเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานก็จะเสื่อมลง ภูมิต้านทานและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะเสื่อมลง ทำให้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังได้ง่ายขึ้น


ปัจจุบันนักชีวเคมีเชื่อว่ามีเอนไซม์มากกว่า 80,000 ชนิด เอามาใช้ทั้งในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เช่น อะไมเลส (มีในน้ำลาย) สามารถย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลใช้สำหรับผลิตเบียร์ น้ำเชื่อม, อินเวอร์เทส ย่อยซูโคสให้เป็นกลูโคสและฟรุกโตส ใช้ผสมในลูกกวาด, ไลเปส ใช้สำหรับย่อยไขมัน, เซลลูเลส ใช้สำหรับย่อยเส้นใยพืช, แลคเตส ย่อยแล็กโตสให้เป็นกาแล็กโตสและกลูโคส ใช้สำหรับลดน้ำตาลแลคโตสในนม ใช้ผลิตนมเปรี้ยว และ ป้องกันการตกผลึกของแล็กโตสในไอศครีม, แต่ในทางการแพทย์เพิ่งจะให้ความสนใจมากกว่าการย่อยอาหารมาประมาณ 20 ปีมานี้ แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สังเคราะห์เอนไซม์เหล่านี้ได้เอง แต่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีววิทยาได้ก้าวหน้าไปถึงการสกัดเอนไซม์ออกมากจากพืชเพื่อนำไปใช้ทางการแพทย์โดยเฉพาะ รวมไปถึงแม้กระทั่งการนำมาใช้กับแผลคนที่ถูกไฟไหม้ให้มีสภาพเนื้อเยื่อกลับมาเหมือนเดิม เป็นต้น


คนไทยอาจจะมีความคุ้นเคยหน่อยกับจุลินทรีย์ใน "นมเปรี้ยว"ที่เรียกว่า "แลคโตบาซิลลัส" ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เลี้ยงเอาไว้ช่วยย่อยสลายน้ำตาลแลคโตสในการหมักนมแล้วได้เอนไซม์ที่ชื่อว่า แลคเตส เพิ่มเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งผู้บริโภคก็จะเพิ่มทั้งแบคทีเรียและเอนไซม์เข้าไปในร่างกายที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายด้วยในเวลาเดียวกัน เพียงแต่อาจจะต้องเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเหมาะกับเคซีนซึ่งเป็นโปรตีนในนม


ส่วนการ "หมัก" พืช ผัก ผลไม้ ที่กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายอยู่ในเมืองไทยนั้น ย่อมทำให้เกิดเอนไซม์ได้อย่างแน่นอน และหลายคนดื่มแล้วก็รู้สึกสุขภาพดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ข้อเสียจะอยู่ที่ว่าคนไทยที่มีองค์ความรู้ส่วนใหญ่ในการหมัก มักจะไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า จุลินทรีย์ที่ใช้สำหรับหมักนั้นมีชื่อว่าอะไรและจะผลิตเอนไซม์ชนิดไหนออกมา และไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นโทษต่อร่างกายด้วยหรือไม่ ผลก็คือกระทรวงสาธารณสุขก็ไล่ตามจับและไม่ได้วิจัยค้นคว้าหาข้อเท็จจริง แต่ในขณะที่ผู้ผลิตบางคนก็โฆษณาสรรพคุณเกินความเป็นจริง ทำให้เอนไซม์ที่ได้จากการหมักพืช ผัก ผลไม้ในเมืองไทยส่วนใหญ่ กลายเป็นของเถื่อนที่ไม่มีการพัฒนาและไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ทั้งๆที่บ้านเมืองเราเป็นแหล่งผลิตพืช ผัก ผลไม้ ที่ดีแห่งหนึ่งของโลก


ในโอกาสนี้จึงขอยกตัวอย่างงานวิจัยที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในวงจำกัดอย่างน่าเสียดาย และไม่ได้ถูกนำมาเผยแพร่เพื่อพัฒนาเรื่องเอนไซม์ในประเทศไทย ได้แก่การผลงานการศึกษาของ ศิริพร ตันจอ จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เขียนเรื่อง "การเตรียมและประกอบอาหาร เพื่อการปรับปรุงคุณภาพของสารอาหารในถั่วเมล็ดแห้ง" ลงในวารสารโภชนาการ ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 ได้เขียนเอาไว้ในงานวิจัยเกี่ยวกับ "การหมักถั่ว" พบผลการศึกษาบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้


1. การหมัก ช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยของโปรตีนได้ดีในถั่วเมล็ดแห้ง ได้แก่ ถั่วเขียว และถั่วเหลือง การหมักถั่วเหลืองจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่า "ถั่วเน่า" พบโปรตีนถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ร่างกายนำไปใช้ได้ง่ายชึ้น หรือการหมักถั่วแดง ด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.Lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากเพาะงอกนาน 6 ชั่วโมง พบปริมาณไขมันลดลง 20-30 เปอร์เซนต์ คาร์โปไฮเดรตลดลง 10 เปอร์เซนต์ เถ้าลดลง 5-30 เปอร์เซนต์ และใยอาหารลดลง 30 - 65 เปอร์เซนต์


2. การหมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์สามารถผลิตสารสำคัญ ได้แก่ เอนไซม์ไฟเตส ย่อยสลายสารไฟเตทให้มีปริมาณลดลงมากว่า 90 เปอร์เซนต์ และสร้างกรดอินทรีย์ต่างๆ ช่วยเพิ่มความสามารถในละลายและการดูดซึมเหล็กและสังกะสี จากการหมักถั่วแดงด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.Lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากเพาะงอก 6 ชั่วโมง จะช่วยลดปริมาณสารประกอบไฟเตทได้อีก 75 เปอร์เซนต์ ปริมาณไฟเตทที่ลดลงจึงมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมได้ทั้งสังกะสีและเหล็กโดยเฉพาะธาตุเหล็ก


3. การหมักมีผลต่อโครงสร้างของไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารประกอบฟีนอลิกซึ่งพบในถั่วเมล็ดแห้ง โดยเฉพาะถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) จะอยู่ในรูปสารประกอบ glycosides โดยต้องเปลี่ยนรูปเป็น aglycones ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งโดยปกติร่างกายสามารถเปลี่ยนไอโซฟลาโวนเป็นรูป aglycones ได้เล็กน้อยจากน้ำลายของมนุษย์ ก่อนถูกดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็ก และอาศัยแบคทีเรียในลำไส้มนุษย์ผลิตเอนไซม์ Beta-glucosidase ใช้ในการเปลี่ยนรูป จากการศึกษาพบว่า การหมักจะช่วยผลิตเอนไซม์ B-glucosidase มีผลทำให้ปริมาณ aglycones ในอาหารสูงขึ้น การหมักถั่วเหลืองด้วยเชื้อจุลินทรีย์ Lactobacillus acidophilus และ Bifidobacterium longum พบปริมาณของไอโซฟลาโวน ชนิด glycones เพิ่มขึ้นเช่นกัน และการหมักถั่วเหลืองด้วยเชื้อ Lactobacillus sp. ปริมาณ daidzein และ genistein เพิ่มขึ้น 30-40 เท่า


4. การหมักถั่วแดง ด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังเพาะงอกงาน 6 ชั่วโมง พบสาร GABA เพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซนต์ และสารประกอบฟีนอลิกเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์ และปริมาณวิตามินบี 1 เพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์


จากการศึกษาและวิจัยชิ้นนี้ย่อมแสดงว่า "การหมักอย่างถูกวิธี" เป็นหนทางหนึ่งทำให้เกิดการเพิ่มเอนไซม์และเพิ่มคุณค่าจากอาหารได้จริง !!!

สรุปความลับของ “เอนไซม์” ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นมีอยู่ว่า

1.ร่างกายเรามีเอนไซม์อยู่จำกัด ถ้าเรากินอาหารไม่ดีหรือสร้างเอนไซม์ได้น้อย เราก็
ต้องสูญเสียเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) ไปมากขึ้น และถ้าเรามีเอนไซม์สำหรับการย่อยไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะใช้เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Matabolic Enzyme)มาช่วยในการย่อยต่อ

เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ถ้ามีน้อยลงไปตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้ร่างกายเราก็จะผลิตเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายลดลง การเร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงานก็เสื่อมลง การสร้างภูมิต้านทานน้อยลง ความสามารถในการสร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆก็ด้อยลงไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยลงของมนุษย์ในแทบทุกโรค

2.ความลับของเอนไซม์มีอยู่ที่ว่า เอนไซม์มีในอาหารทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ แต่เอนไซม์
ที่ได้จากอาหารจะเสื่อมคุณภาพจนถึงใช้การไม่ได้ถาวรทันทีเมื่อเจออุณหภูมิสูงกว่า 47 องศาเซลเซียส ทีนี้เมื่อมาทบทวนดูว่าเราได้รับประทานอาหารอะไรบ้างที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสบ้าง ก็จะพบว่าเป็นเรื่องยากมาก

เนื้อสัตว์เราแทบจะไม่สามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้เลย เพราะอาจจะเจอพยาธิหรือโรคอื่นๆที่ติดมากับเนื้อสัตว์นั้นๆ ในขณะที่การรับประทานผักส่วนใหญ่ของมนุษย์ก็มักจะผ่านความร้อนทั้งการต้ม การผัด การทอด ฯลฯ ดังนั้นแม้เราจะได้สารอาหารจากอาหารเหล่านี้แต่เราจะไม่ได้ “เอนไซม์จากผัก”ในลักษณะแบบนี้ได้อีกเช่นกัน คงเหลือแต่ผักและผลไม้แบบดิบๆ (เช่น ผักสลัด)หรือผ่านความร้อนที่อุณหภูมิต่ำๆ ที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยที่ยังคงเพิ่มเอนไซม์ในร่างกายได้เท่านั้น

คำถามมีอยู่ว่า เมื่อเราได้ทบทวนการกินอาหารแล้วในยุคปัจจุบัน มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับเอนไซม์ที่มาจาก “อาหารที่เป็นผักดิบและผลไม้สด” น้อยกว่า “อาหารที่เอนไซม์ตายแล้ว”ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) และ เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) อยู่ตลอดเวลา มนุษย์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในภาวะ “มีเอนไซม์ขาเข้าร่างกายน้อยลงทุกวัน แต่มีขาออกจากร่างกายเพิ่มมากทุกวัน” !!!

มนุษย์ส่วนใหญ่แทบทุกคนเมื่ออายุมากขึ้นระบบการย่อยและการขับถ่ายจึงเสื่อมลงแทบทุกคน ภูมิคุ้มกันลดลง การซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอจึงลดลงตามลงไปด้วย ทั้งหมดเพราะกินไม่ดีจึงสูญเสียเอนไซม์ลงไปทุกวัน

ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีเอนไซม์จากอาหารมากเพียงพอ เราจะสิ้นเปลืองเอนไซม์จากการย่อยอาหารน้อยลงไป (Digestive Enzyme) ส่งผลทำให้เราสิ้นเปลืองเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme)น้อยตามลงไปด้วย

“นายลี ชิง ยุน” ชาวจีนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกคือ 256 ปี และรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเดียวและอาหารสดจำนวนมากทั้งจากผักและผลไม้สด ซึ่งหมายถึงเขามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) คอยเพิ่มเข้ามาในร่างกายอยู่ตลอดเวลา

คำถามย่อมมีอยู่ว่าหลายคนที่อายุมากและสูญเสียเอนไซม์จากการย่อย และเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหารไปแล้ว แต่อยากจะเริ่มรับประทานอาหารผักและผลไม้แบบสดๆ จะรับประทานได้มากพอจริงหรือไม่เพื่อให้มีเอนไซม์ที่หลากหลายให้ใกล้เคียงกับเอนไซม์ทุกชนิดตามที่ร่างกายสูญเสียไปได้หรือไม่นั้น คำตอบคือ “ไม่ใช่เรื่องง่าย”

ยกตัวอย่างเช่น เอนไซม์ที่มีชื่อว่า “ปาเปน”(Papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตได้จาก “มะละกอ”ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายโปรตีนให้เล็กจนเท่ากรดอะมิโน (Amino Acid) หรือเอนไซม์ “บรอมมิเลน”(Bromelain) เป็นเอนไซม์อีกประเภทที่ช่วยย่อยโปรตีน ได้มาจาก “แกนของสับปะรด” ก็ล้วนเป็นเอนไซม์จากอาหารที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนทั้งสิ้น และอาหารทั้งคู่ก็จัดอยู่ในหมวด “อาหารฤทธิ์ด่าง”

ถ้าเรามีเอนไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีนมากพอก็จะสามารถป้องกันได้หลายโรค เพราะถ้าเอนไซม์ย่อยโปรตีนมีไม่มากพอหรือลดน้อยเสื่อมลงไป โปรตีนที่ย่อยไม่สมบูรณ์ก็จะรั่วซึมเข้ามาในระบบเลือด และกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายคิดว่าเป็นศัตรู จึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเฉพาะทำลายจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆขึ้น เช่น การแพ้อาหาร โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง ฯลฯ

แต่เราทำร้ายตัวเองยิ่งไปกว่านั้นโดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นประจำ เพราะยาปฏิชีวนะมีคุณสมบัติเป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หรือไม่สามารถแบ่งตัวเพิ่มออกไปได้เพราะไม่สามารถสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ก็จะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายตายไปด้วย ส่งผลทำให้เอนไซม์ที่จะได้จากแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไปอีก จึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จำนวนมามักจะมีประวัติรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องมาก่อน

ความจริงแล้วเราสามารถกินอาหารที่เลือกเอนไซม์ได้เป็นอย่างๆเท่านั้น ไม่สามารถกินอาหารได้เอนไซม์ครบทุกอย่างตามที่เราขาดไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาในสิ่งที่ขาดหรือสิ่งที่เราต้องการย่อยอาหารได้

แม้กระทั่งหลักสูตรล้างพิษตับ ซึ่งมีการดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากก็เพื่อเร่งให้ตับและถุงน้ำดีเร่งขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมากและนำสิ่งตกค้างออกมาจากตับและถุงน้ำดีด้วย เพราะน้ำดีเป็นด่างไบคาร์บอเนต (pH 7.5-8.8) และเอนไซม์ไลเปสซึ่งผลิตมาจากตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่ย่อยน้ำมันมะกอกจะทำงานในการย่อยได้ในสภาวะความเป็นด่าง ดังนั้นแม้จะเป็นข่าวดีที่เราได้ขับของเสียออกจากตับและถุงน้ำดีเพราะการขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเราได้สูญเสียเอนไซม์ไลเปสเพื่อมาย่อยน้ำมันมะกอกด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลักสูตรล้างพิษตับจึงจำเป็นต้องอดอาหารล่วงหน้าพอสมควรเพื่องดการใช้เอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน และหลังหลักสูตรล้างพิษก็ควรจะเลือกรับประทานอาหารที่เพิ่มปริมาณเอนไซม์ไลเปส ซึ่งเอนไซม์ไลเปสสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อพืช ผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโอ๊ต รำข้าว ถั่วเหลือง ฯลฯ

แต่ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ในด้านการหมัก เราจึงมีโอกาสที่จะนำพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช มารวมกันและหมักเพื่อให้เร่งและเพิ่มปริมาณเอนไซม์ที่หลากหลายที่สุดสำหรับการบริโภค เพราะองค์ความรู้ที่ว่าการหมักนั้นสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ทำให้ย่อยและดูดซึมง่าย และเพิ่มปริมาณเอนไซม์ และหากหมักด้วยกรรมวิธีและการควบคุมที่ดีเราก็จะได้แบคทีเรียและเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวได้ด้วย

การหมักที่ดีควรจะรู้ว่า “หัวเชื้อ”ที่เป็นจุลินทรีย์เรานำมาใช้นั้นคืออะไร และมีวัตถุประสงค์อะไร และระบบการหมักสามารถควบคุมไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่พึงประสงค์แปลกปลอมเข้ามาในการหมักได้มากแค่ไหน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้แต่จุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ดีและได้มาตรฐานจากการหมัก แต่อย่างน้อยเราน่าจะมีข่าวดีอยู่ที่ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ปราชญ์คนหนึ่งแห่งศีรษะอโศก ได้แจ้งว่าเมื่อส่องกล้องในระหว่างการหมักในภาวะความเป็นกรดจะพบว่าแบคทีเรียจะเหลือแต่เพียงตระกูลบาซิลลัสเท่านั้น ส่วนเชื้อแบคทีเรียอื่นๆได้ตายหมดไปแล้ว ดังนั้นในขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาลให้อาหารกับแบคทีเรียที่ดีขยายตัวเติบโตต่อไปในน้ำหมักต่อไป

ส่วนที่บางคนกังวลเรื่องน้ำตาลในน้ำหมักจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าในโอกาสนี้ว่าผู้เชี่ยวชาญและส่งออกน้ำเอนไซม์รายใหญ่ที่สุดของโลกจากไต้หวันได้ให้ความรู้กับเราว่าน้ำตาลในน้ำหมักที่กินเข้าไปอาจทำน้ำตาลในเลือดช่วงแรกเพิ่มขึ้นแต่เมื่อและจุลินทรีย์และเอนไซม์มีมากพอจากน้ำหมักมีมากแล้ว เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ก็จะทำงานดีขึ้นทำให้การเผาผลาญน้ำตาลในเลือดดีขึ้นและทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงในเวลาต่อมา

ส่วนที่บางคนมีความกังวลว่า น้ำหมักเมื่อวัดค่า pH แล้วจะเป็นกรดอย่างแรงจะทำให้เสีย
สมดุลกรด-ด่างหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอนไซม์จากไต้หวันให้ความรู้เราเพิ่มเติมว่า กรดที่เกิดในน้ำหมักที่ได้จากพืช ผัก ผลไม้ที่ออกฤทธิ์เป็นด่างเมื่อย่อยสลายในร่างกายแล้วก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ฤทธิ์ด่างในท้ายที่สุดเช่นกัน

สุดท้ายอาจจะมีข้อสงสัยว่าเอนไซม์จากน้ำหมักจะมีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ เพราะอาจถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลายหมดหรือไม่ ในเรื่องนี้ได้ปรากฏมีบทความของนักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านโภชนาการและเอนไซม์คนหนึ่งชื่อ ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส (Dr.Viktoras Kulvinskas) ได้เขียนเอาไว้ว่า

“ประมาณการว่าร้อยละ 80 ของโรคมีต้นเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย และก่อให้เกิดการเน่าเสียและสารพิษเหล่านี้ซึมเข้าไปในร่างกาย”

ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส มีงานวิจัยด้านโภชนาการเอนไซม์ที่แสดงว่า กรดในกระเพาะอาหารที่ดูเหมือนว่าจะหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ได้จากอาหาร แต่เมื่อเอนไซม์เดินทางมาถึงลำไส้เล็กแล้วก็จะกลับตื่นฟื้นขึ้นมาทำงานได้อีกครั้งตามปกติในสภาพวะความเป็นด่าง

ถึงเวลาที่ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใกล้บนเส้นศูนย์สูตร มีพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่หลากหลายที่สุดในโลก ควรก้าวไปข้างหน้ากับการวิจัย เผยแพร่ และ ขยายผลทางวิชาการนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศในด้านเอนไซม์ในระดับโลกได้แล้ว !!!

ข้องมูลดีๆจาก : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

https://amp.mgronline.com/home/9560000032216.html
https://mgronline.com/daily/detail/9560000029053