สมุนไพรบำรุงกำลัง (Herbs Nourishes)

Young Antler (เขากวางอ่อน)
ลักษณะ เขากวางอ่อนคือเขาของกวางที่ยังไม่แก่เต็มที่ เนื้อของเขาไม่แกร่งเหมือนเขากวางที่แก่เต็มที่ รสจืด
สรรพคุณ เชื่อกันว่าเขากวางอ่อนมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายโดยเฉพาะในเรื่องทางเพศ
ตำราแพทย์สมัยราชวงศ์ถัง บันทึกไว้ว่า เขากวางอ่อนเป็นยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่พบว่า เขากวางอ่อนเป็นยาบำรุงที่ให้ผลต่อการผงาดกล้าแข็งของลำองคชาติ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียพบว่าเขากวางอ่อนมีสรรพคุณในการฟื้นฟูหัวใจให้แข็งแรง เสริมสร้างขบวนการย่อยและขับถ่ายของกระเพาะอาหารให้ดีขึ้น และฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าให้กลับมามีพลัง
วิธีการใช้ นำเขากวางอ่อนมาบดให้ละเอียด นำมาผสมกับเครื่องดื่มวันละสองครั้ง ครั้งละ 0.3 กรัม ถึง 1 กรัม หรือใช้ผสมกับเหล้าก็ได้


Fish Maw (กระเพาะปลา (แท้))
ลักษณะ ส่วนที่เรียกว่ากระเพาะปลาหรือฮื้อเพียวคือถุงลมของปลา รสจืด
สรรพคุณ มีสรรพคุณบำรุงไตและอวัยวะสืบพันธุ์ เสริมสร้างน้ำเชื้อ ฟื้นฟูช่องสังวาสให้กระชับยืดหยุ่น รักษาอาการหลั่งเร็ว(เรือล่มปากอ่าวในบุรุษ) นอกจากนี้กระเพาะปลายังมีสรรคุณช่วยห้ามเลือด ป้องกันการเป็นมะเร็ง จึงมีการนำมาเป็นยารักษาโรคเลือดออกชนิดต่างๆ และมะเร็งที่กระเพาะอาหาร
วิธีการใช้ นำกระเพาะปลามาประกอบอาหาร เช่นนำมาทำน้ำแกงโดยสามารถนำอาหารอื่นต้มรวมกับกระเพาปลาได้ด้วย หรืออาจจะปรุงตามสูตรนี้ ซึ่งต้องหาซื้อจากร้านขายยาจีนโบราณคือ กระเพาะปลา 5 กรัม ซัวอวงเกี้ย 3 กรัม โท่วซีเกี้ยว 5 กรัม สามอย่างนี้ใส่พร้อมกันเติมน้ำ 500 ซีซี ต้มให้เหลือครึ่งหนึ่ง แล้วแบ่งเป็นสามส่วน รับประทานวันละสามเวลา


หนอนเก้าเฮียงทั้ง
ลักษณะ หนอนเก้าเฮียงทั้งเป็นหนอนตากแห้ง ปกติหนอนชนิดนี้จะกินต้นซุงซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งในประเทศจีน เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวมีผลรับประทานได้ หนอนเก้าเฮียงทั้งจึงกลายเป็นยาไปโดยปริยาย รสจืด
สรรพคุณ บำรุงกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อย ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้ใตในการซักฟอกของเสีย สามารถทำให้องคชาติที่อ่อนล้ากลับคืนความแข็งขืนได้
วิธีการใช้ ให้เอาหนอนเก้าเฮียงทั้งมาย่างจนกรอบแล้งนำมาบดให้ละเอียด ใช้เนื้อหนอน 10 กรัม ใส่น้ำ 500 ซีซี ต้มให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งออกเป็นสามส่วน รับประทานวันละสามเวลา


Panax Ginseng (โสมคน (หยิ่งเซียม))
ลักษณะ เป็นส่วนของรากมีรูปร่างคล้ายคนจึงเป็นที่มาของชื่อโสมคนหรือหยิ่งเซียม รสหวานกลมกล่อม
สรรพคุณ โสมคนได้รับการขนานนามว่าเป็นยาเทวดามีสรรพคุณบำรุงทั้งสติและกำลัง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้กระเพาะลำไส้แข็งแรง ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยรักษาโรคบิด และใช้บรรเทาอาการอาเจียน
วิธีการใช้ นำโสมคน 5 10 กรัม ใส่น้ำ 500 ซีซี ต้มให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งรับประทานวันละสามเวลา หรือจะนำโสมคนแช่เหล้าจิบทุกวัน ๆ ละนิดก็ได้


Lycium Chinense (เก๋าคี่)
ลักษณะ เก๋าคี่เป็นชื่อต้นไม้ที่ใช้ทำยาอายุวัฒนะ ไม่ว่าผลใบกิ่งก้านหรือรากล้วนเป็นยาบำรุงกำลังที่ให้ผลดียิ่ง มีการนำผลเก๋าคี่มาทำเป็นเหล้าซึ่งมีชื่อเสียงมาก ผลเก๋าคี่มีสีแดง รสหวานกลมกล่อม
สรรพคุณ ไม่เพียงบำบัดอาการเมื่อยล้าอ่อนเพลีย หากดื่มวันละก้งจะทำให้สีหน้ามีเลือดฝาดอมชมพู คนที่ผอมแห้งแรงน้อยจะเปลี่ยนเป็นคนร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง
วิธีการใช้ ใช้เหล้าเก๋าคี่ 500 ซีซี ใส่ลูกเก๋าคี่ 1.5 กรัม นำไปต้ม พอเดือดนำน้ำตาลทรายใส่ลงไป หรือใช้น้ำเปล่า 500 ซีซีแทนเหล้า ต้มให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งออกเป็นสามส่วน รับประทานวันละสามเวลา


อึ้งเจ็ง
ลักษณะ อึ้งเจ็งเป็นกิ่งกอและรากของต้นแปะฮะ มีสีดำ รสกลมกล่อมหวามอมเปรี้ยว
สรรพคุณ เป็นยาบำรุงร่างกาย มีสรรพคุณดุจยาเทวดา ถือเป็นยาบำรุงชั้นเยี่ยม คนที่ดื่มอึ้งเจ็งเป็นประจำจะมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี แม้จะมีอายุมากเข้าสู่วัยชราแต่ร่างกายยังดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนคนวัยสามสิบ ถ้าดื่มอึ้งเจ็งแช่เหล้าก่อนทำกิจกาม หลังเสร็จกิจการร่วมเพศแล้วจะไม่รู้สึกอ่อนเพลียหรือหมดกำลัง นอกจากนี้คนที่กามตายด้านองคชาติอ่อนล้ากินอึ้งเจ็งก็ได้ผลดีเช่นกัน
วิธีการใช้ ให้ใช้น้ำ 400 ซีซี ต่ออึ้งเจ็ง 10 กรัม ต้มให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งเป็นสามส่วน รับประทานวันละสามเวลา หรือจะใช้ดองเหล้าดื่มก็ได้เช่นกัน


โต่วต๋ง
ลักษณะ โต่วต๋งเป็นชื่อของต้นไม้ที่มีกิ่ง ก้าน เปลือก และใบ นำมาทำยาบำรุงได้ ในเปลือกของต้นโต่วต๋งจะมียางชนิดหนึ่งสีขาวเหนียวข้นเป็นเส้นใย รสจืด
สรรพคุณ เป็นยาบำรุงเสริมสร้างความแข็งแรง และสามารถใช้เป็นยาแก้ปวดได้ด้วย
วิธีการใช้ นำโต่วต๋งมาต้มหรือดองกับเหล้า


ซัวอวงเกี้ย
ลักษณะ ซัวอวงเกี้ยเป็นสมุนไพรประเภทฝักถั่ว ส่วนใหญ่ก่อนใช้จะตากให้แห้งสนิท
สรรพคุณ ซัวอวงเกี้ยเป็นสมุนไพรที่ชาวจีนใช้มาแต่โบราณ มีสรรพคุณบำรุงไต เสริมสร้างอวัยวะสืบพันธุ์ ถ้าไตหย่อนสมรรถภาพมีอาการไม่ใคร่ดี ปัสสาวะน้อยเกินไป หรือรู้สึกเสียการควบคุมในการปัสสาวะ เอวไม่มีกำลังหรือเจ็บเอว ทั้งยังสามารถใช้เป็นยาเสริมสร้างความแข็งแรง
วิธีการใช้ ใช้ซัวอวงเกี้ย 10 กรัม ต่อน้ำ 500 ซีซี นำไปต้มให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งรับประทานวันละสามเวลา ถ้าจะเสริมกำลังให้ดียิ่งขึ้น ให้นำโต่วต๋งและโท่วซีเกี้ย ใส่ลงไปต้มด้วยกัน


ฮ้อซิ่วโอว
ลักษณะ ฮ้อซิ่วโอวเป็นรากของหวายมีเนื้อสีดำ รสจืด
สรรพคุณ เป็นยาอายุวัฒนะเสริมสร้างความแข็งแรง บำรุงประสาท ฟื้นฟูความเป็นหนุ่มสาวให้กลับกระชุ่มกระชวย ทำให้ผมขาวกลับดำราวกับเป็นยาเทวดา นอกจากนี้ฮ้อซิ่วโอวยังสามารถปรับสภาพกระเพาะลำไส้ ขับถ่ายได้ดี อีกทั้งสามารถใช้รักษาริดสีดวงทวารได้ด้วย
วิธีการใช้ นำรากหวายฮ้อซิ่วโอว 10 12 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งรับประทานวันละสามเวลา


อิ้มเอี้ยชัก ใบถั่วแพะตัณหา
ลักษณะ อิ้มเอี้ยชักเป็นพืชที่เกิดในป่าเบญจพรรณตามเนินเขาเตี้ยๆ ในช่วงเดือน 4 5 จะออกดอกสีม่วงและสีแดง เป็นอาหารของสัตว์ชนิดหนึ่งในมณฑลเสฉวนเรียกว่า อิ้มเอี้ย(สัตว์จำพวกแพะ) ซึ่งกินใบถัวชนิดนี้เป็นประจำจึงเป็นที่มาของชื่อ อิ้มเอี้ยชัก สัตว์ชนิดนี้มีความสามารถที่จะผสมพันธุ์ได้วันละนับร้อยครั้ง อิ้มเอี้ยชักมีอีกชื่อหนึ่งว่ายาทิ้งไม้ ความหมายก็คือคนที่มีอายุเมื่อรับประทานยานี้แล้วจะสามารถละทิ้งไม้ที่ใช้พยุงได้ รสหวานอมเปรี้ยว
สรรพคุณ ใบถั่วอิ้มเอี้ยชักมีสรรพคุณในการบำรุงสติกำลัง และใช้เสริมสร้างความแข็งแรงสำหรับผู้ที่เส้นประสาทอ่อนแอ ร่างกายส่วนล่างเป็นอัมพฤกษ์ ส่วนรากของต้นถั่วอิ้มเอี้ยชักมีสรรพคุณบำรุงหัวใจให้แข็งแรง
วิธีการใช้ นำอิ้มเอี้ยชัก 10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งรับประทานวันละสามเวลา หรือใช้อิ้มเอี้ยชัก 1.8 กรัม แช่กับเหล้า 200 ซีซี พร้อมใส่น้ำตาลทรายลงไป ดื่มวันละสองครั้งๆ ละ 20 ซีซี


Radix Codonopsis Pilosulae (ตั้งเซียม)
ลักษณะ ตั้งเซียมเป็นรากของหญ้ากิ๊กแก้ ซึ่งใบใช้ทำยาได้ รสหวาน
สรรพคุณ บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย บำรุงเลือดลม ม้ามและกระเพาอาหาร เสริมสมรรถภาพทางเพศ
วิธีการใช้ นำตั้งเซียม 10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งรับประทานวันละสามเวลา


โป้วกุจี
ลักษณะ เป็นพืชสมุนไพรประเภทถั่ว ส่วนที่นำมาใช้คือเมล็ด มีรสรสกร่อยออกหวานเล็กน้อย
สรรพคุณ บำรุงกระดูกและไขข้อ นอกจากนี้ยังใช้เพิ่มความร้อนให้กับกระเพาลำไส้และไต ใช้เพิ่มกำลังให้เอวเสริมสร้างความแข็งแรงและตื่นตัวให้กับองคชาติ ใช้ได้กับผู้ที่กลัวความเย็นปัสสาวะบ่อย
วิธีการใช้ นำโป้วกุจี 10 กรัม ต้มกับน้ำ 500 ซีซี ให้เหลือครึ่งหนึ่ง แบ่งรับประทานวันละสามเวลา


Poria Coccos (ฮกเหล็ง)
ลักษณะ เป็นส่วนของเนื้อในและเปลือกนอก มีรสจืดออกหวานเล็กน้อย
สรรพคุณ ช่วยการไหลเวียนของน้ำในร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะเสริมสมรรถภาพทางเพศ เสริมความจำ


Radix Morinda Officinalis (ปาเก็ก)
ลักษณะ เป็นส่วนของเนื้อในและเปลือกนอก มีรสจืดออกหวานเล็กน้อย
สรรพคุณ ช่วยการไหลเวียนของน้ำในร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ เสริมสมรรถภาพทางเพศ เสริมความจำ

แตงโม


ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสทางตะวันตกเฉียงใต้บอกว่า ในแตงโมมีโพแทสเซียมและเกลือแร่สูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาไต และการทำงานของหัวใจได้ดี

กรมวิชาการเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ใหญ่ ควรได้รับโพแทสเซียมประมาณ 4,044 มิลลิกรัม จากอาหารและเครื่องดื่มในแต่ละวัน

โดย โฆษกสมาคมอเมริกันเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร Lona Sandon ยังบอกอีกว่า แตงแคนตาลูปและแตงโมมีโพแทสเซียมสูงมาก แคนตาลูป 1 ลูก มีโพแทสเซียมอยู่มากถึง 800-900 มิลลิกรัม หรือเกือบร้อยละ 20 ของโพแทสเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน ส่วนแตงโม 2 ลูกมีปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำต่อวันเกือบร้อยละ 10 เลย

จริง ๆ แล้วความดันเลือดสูงเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป และการไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติ สามารถทำลายเส้นเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง และตาได้



แตงโมมีประโยชน์มากมายแต่ต้องเลือกแตงโมปลอดสารพิษ เพราะพิษที่ว่าไม่ได้เกิดจากตัวผลแตงโม แต่เกิดจากสารเคมีฟูราดาน (Furadan) ที่เกษตรกรนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการปลูกแตงโม ฟูราดาน เป็นชื่อทางการค้าของสารคาร์โบฟูราน ยาฆ่าแมลงชนิดร้ายแรงเต็มพิกัด เรียกกันว่ายาพิษได้เลย (Poison) เป็นสารเคมีที่เกษตรกรต้องใส่ลงในดินก่อนการปลูกแตงโม เพื่อป้องกันการกัดกินของแมลงศัตรูพืช โดยเฉพาะมด ...มีรายงานจากผู้เชี่ยวชาญระบุว่าฤทธิ์ของฟูราดานคงค้างอยู่ในดินได้นานถึง ประมาณ 12 เดือน ออกฤทธิ์ในการกำจัดแมลงได้ดีภายใน 90 วันแรกที่ใช้ ...ปัญหาคือ เกษตรกรเก็บผลแตงโมภายใน 55 วันซึ่งป็นช่วงที่ฟูราดานยังไม่เจือจาง ...นอกจากนี้ฟูราดานเป็นยาฆ่าแมลงชนิดดูดซึมเข้าสู่ราก ลำต้น และใบในปริมาณมากด้วยเช่นกัน ทำให้ผลแตงโมมีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นผลไม้อาบยาพิษไปโดยเลี่ยงไม่ได้


แมคคาเดเมีย

แมคคาเดเมีย ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
 

แมคคาเดเมียไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดแถบประเทศออสเตรเลีย ถึงแม้ว่าจะมีอยู่ด้วยกัน 10 ชนิด แต่ที่สามารถบริโภคได้มีแค่ 2 ชนิดเท่านั้น เป็นพืชที่ปลูกได้ในอุณหภูมิระหว่าง 9 องศาเซลเซียส และสูงสุดไม่เกิน 32 องศาเซลเซียส ต้องการน้ำและดินที่อุดมสมบูรณ์ ร่วนซุย ระน้ำได้ดี พบว่าปลูกได้ผลดีที่ดอยมูเซอ จังหวัดตาก เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และภูเรือ จังหวัดเลย และยังเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เป็นการสร้างอาชีพให้ชาวเขาอย่างยั่งยืน เพราะกว่าจะให้ผลิตจำหน่ายได้ครั้งแรกใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี แต่อายุยืนถึง 100 ปี อีกทั้งยังเป็นการพลิกฟื้นผืนป่าให้สมบูรณ์คืนมาอีกครั้ง

ประโยชน์ของแมคคาเดเมีย
1.เมื่อ เปรียบเทียบกับถั่วชนิดอื่น ๆ แล้ว เช่นอัลมอนด์และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย มีไขมันสูงและโปรตีนต่ำ แต่มีจำนวนของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงที่สุด ซึ่งมีประโยชน์มาก
2.มีปริมาณ 22% ของกรดโอเมก้า 7 ซึ่งมีผลทางชีวภาพคล้ายกับไขมันอิ่มตัว
3.นอก จากนี้ยังมีโปรตีน 9% คาร์โบไฮเดรต 9% และใยอาหาร 2% เช่นเดียวกับแคลเซียม ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม โซเดียม ซิลิเนียม เหล็ก วิตามินบีและไนอาซิน
4.แมคาเดเมียมีระดับของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงที่สุดในอาหารเชิงพาณิชย์ต่างที่เป็นธรรมชาติ
5.แมคคาเดเมียไม่มีคอลเสลเตอรอล
6.แมคคาเดเมียไม่มี Trans fatty acid
7.กรด ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเป็นไขมันที่ 'ดี' และได้มีการวิจัยไว้ว่า สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด รวมทั้งการเสริมสร้าง การปกป้องการเพิ่มขึ้นของปริมาณ lipoproteins ซึ่งระดับคอเลสเตอรอลและไลโปโปรตีนนั้น เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

Umeshu เหล้าดองบ๊วย



ส่วนผสม

  1. บ๊วย 1 กิโลกรัม (เลือกบ๊วยแก่จัดที่ผิวไม่มีแผล และยังไม่สุก)
  2. น้ำตาลกรวด 0.5 กก (แล้วแต่ชอบครับ ถ้าชอบหวานก้อเติมให้เท่าน้ำหนักบ๊วยคือ 1 กิโลกรัม)
  3. เหล้าขาว หรือ ว๊อดก้า 1.8 ลิตร  ( ถ้าปริมาณแอลกอฮอล์สูงจะทำให้สีสวย)


วิธีทำ

   * เตรียมแก้วหรือภาชนะที่สะอาด โดยการฆ่าเชื้อในน้ำเดือดและทิ้งไว้ให้แห้ง
   * ล้างบ๊วยให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง ต้องระวังผิวบ๊วยถลอก
   * เอาก้านบ๊วยออก เพื่อที่รดชาดบ๊วยจะได้ค่อยๆซึมออกมาทางนี้
   * วางบีวยเป็นชั้นๆ แล้วโรยน้ำตาลสลับกันไปจนหมด
   * เทเหล้าลงไปผสม
   * เก็บไว้ในที่เย็นและมืดเป็นเวลาอย่างน้อยสามเดือน เขย่าบางเป็นครั้งคราว

เราจะสามารถดื่มมันหลังจากสามเดือนจะขึ้นไป แต่ถ้าเราคิดจะเก็บไว้เกินหนึ่งปีควรเอาบ๊วยออกหลังจากดองไว้หกเดือน










ชื่อสมุนไพรจีน

1.White Willow Bark = 白柳皮 (Bai Liu Pi)
2.Wolfberry Fruit = 枸杞子 (Gou Qi Zi)
3.Orange Blossom =玳玳花 (Dai Dai Hua)
4.Cibot Tuber = 狗脊 (Gou Ji)
5.Gardenia Fruit = 栀子 (Zhi Zi)
6.Liquorice Root =甘草 (Gan Cao)
7.Cherokee Rosehip = 金櫻子 (Jin Ying Zi)
8.Ginseng =刺五加 (Ci Wu Jia)
9.Uncaria Stem with Hooks = 钩藤 (Gou Teng)
10.Wild Jujube Seeds =酸枣仁 (Suan Zao Ren)
11.Angelica Root = 当归 (Dang Gui)
12.Astragalus Root = 黃芪 (Huang Qi)
13.Codonopsis Root = 党参 (Dang Shen)
14.Hawthorn Fruit =山楂 (Shan Zha)
15.Fleece Flower Root = 何首乌 (He Shou Wu)
16.Epimedium = 淫羊藿 (Yin Yang Huo)
17.Bitter Orange =枳实 (Zhi Shi)
18.Rose Flower Buds 玫瑰花 (Mei Gui Hua)
19.Lily Turf Root = 麦冬 (Mai Dong)
20.Water Plaintain Tuber = 泽泻 (Ze Xie)
21.Quince Fruit = 木瓜 (Mu Gua)
22.Ginger = 干姜 (Gan Jiang)
23.Corydalis Tuber = 延胡索 (Yan Hu Suo)
24.Coltsfoot Flower = 款冬花 (Kuan Dong Hua)
25.Marigold Flower =金盏花 (Jin Zhan Hua)
26.Red Clover = 红三叶草 (Hong San Ye Cao)
27.Oak Bark = 橡实 (Xiang Shi)
28.Red Sandalwood =紫檀 (Zi Tan)



 
1.Ai Ye 艾叶 Mugwort Leaf (ใบโกฐจุฬาลัมพา)
2.Ba Ji Tian 巴戟天 Morinda Root
3.Bai Bu 百部 Stemona Root (หนอนตายอยาก)
4.Bai Dou Kou 白豆蔻 Round Cardamon Fruit (กระวานขาว)
5.Bai Gou 白果 Ginkgo Nut (ผลแปะก๊วย)
6.Bai He 百合 Lily Bulb
7.Bai Ji 白及 Bletilla Rhizome
8.Bai Ji Li 白蒺藜 Caltrop Fruit
9. Bai Ji Li 白蒺藜 Caltrop Fruit
10.Bai Jiang Cao 败酱草 White Flower Patrinia
11.Bai Jie Zi白芥子 White Mustard Seed
12.Bai Mao Gen 白茅根 Wolly Grass Root
13.Bai Mao Gen 白茅根 Wolly Grass Root
14.Bai Qian 白前 Cynanchum Rhizome
15.Bai Shao 白芍 White Peony Root
16.Bai Wei 白薇 Swallowwort Root
17.Bai Zhi 白芷 Angelica Root (โกฐสอ)
18.Bai Zhu 白术 White Atractylodes Rhizome
19.Bai Zi Ren 柏子仁 Arbor-Vitae Seed
20.Ban Lan Gen 板 藍 根 Isatis Root
21.Ban Xia 半夏 Pinellia Rhizome
22.Bei Xie 萆薢 Dioscorea Root
23.Bi Ba 荜拔 Long Pepper Fruit
24.Bian Dou 扁豆 Hyacinth Bean (ถั่วแปบ)
25.Bian Xu 扁蓄 Knotweed (เอื้องเพ็ดม้า)
26.Bie Jia 鳖甲 Tortoise Shell (กระดองเต่า)
27.Bing Lang 槟榔 Betel Nut (หมากสง)
28.Bo He 薄荷Field Mint (ต้นสะระแหน่)
29.Bu Gu Zhi 补骨脂 Psoralea Fruit
30.Bu Gu Zhi 补骨脂 Psoralea Fruit
31.Cang Er Zi 苍耳子 Cocklebur Fruit
32.Cang Zhu 苍术 Black Atractylodes Rhizome
33.Cao Dou Kou 草豆蔻 Katsumada's Galangal Seeds
34.Cao Guo 草果 Tsaoko Fruit
35.Cao Wu 草乌Prepared Wild Aconite
36.Ce Bai Ye 侧柏叶 Biota Leaf
37.Chai Hu 柴胡 Thorowax Root
38.Chan Tui 蝉蜕 Cicada Moulting (คราบจั๊กจั่น)
39.Che Qian Zi 车前子 Plantago Seeds
40. Che Qian Zi 车前子 Plantago Seeds
41.Chen Pi 陈皮 Tangerine Peel (เปลือกส้ม)
42.Chi Shao 赤芍 Red Peony Root
43.Chen Xiang 沉香 Aloeswood
44. Chi Shi Zhi 赤石脂 Halloysite
45.Chuan Bei Mu 川贝母 Fritillaria Bulb
46.Chuan Jiao 川椒 Szechuan Pepper
47.Chuan Lian Zi 川楝子 Sichuan Pagoda Tree Fruit
48.Chuan Niu Xi 川牛膝 Cyathula Root (พันงูนอย)
49.Chuan Shan Jia 穿山甲 Pangolin Scales (เกล็ดตัวนิ่ม)
50.Chuan Xiong 川芎 Szechuan Lovage Root (โกฐหัวบัว)
51.Chun Pi 椿皮 Bark or Root Bark of Ailanthus
52.Ci Shi 磁石 Magnetitum
53.Cong Bai 葱白 Spring Onion (ต้นหอม)
54.Da Fu Pi 大腹皮 Areca Peel

โสม (Ginseng) ราชาแห่งสมุนไพร

โสม เป็น สมุนไพรที่จัดว่าเป็นราชาแห่งสมุนไพร ใช้รักษาโรคมานานกว่า 2,000 ปี โสม นิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยประเทศทางตะวันออกเชื่อว่าเป็นยาครอบ จักรวาล โสมมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น โสมจัน โสมญี่ปุ่น โสมเกาหลี โสมอเมริกา ผักกะโสม โสมไทย โสมดอกแดง และโสมที่นิยมใช้กันมาพันปี คือ โสมเกาหลี หรือโสมอเมริกา ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณทางยาอย่างแท้จริง คำว่า Gingseng มาจากภาษาจีนว่า เรนเซ็น (Ren Shen) แปลว่า โสมคน เนื่องจากมีรากอ้วนคล้ายลำตัว มีกิ่งรากแตกแขนงคล้ายแขนขาของคน เป็นพืชที่โตช้าปลูกยาก แต่ให้คุณค่ามหาศาล โสมที่เราคุ้นเคยคือโสมเกาหลี หรือโสมคน โสมได้รับการจัดเข้าเป็นพืชตระกูล Panax ginseng CA Meyer โดยนักพฤกษาศาสตร์ชาวรัสเซียชื่อว่า CA Meyer ในปี 2385 คำว่า Panax มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกแปลว่า "รักษาได้สารพัดโรค" ต่อมาในปี 2503 ได้นำมาตรวจสอบอย่างเป็นระบบโดยบริษัทฟาร์มาตอน เอสเอ จำกัด ในเมืองลูกาโน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อได้ศึกษาคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา พิษวิทยา และศึกษาวิจัยโดยนำมาใช้กับคนไข้ พบว่าสารประกอบสำคัญในรากโสมคือจินซีโนไซด์ (ginsenosides) ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง โสมเป็นรากของพืชทำให้แห้งอยู่ในตระกูล Araliaceae ในปัจจุบันมีการเพาะปลูกโสมกันทั่วไปทั้งในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย อินเดีย สหรัฐอเมริกา และแคนาดา โสมมีอยู่ด้วยกันหลายพันธุ์ แต่ละพันธุ์จะมีสรรพคุณแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิอากาศและท้องถิ่น ที่ทำการเพาะปลูก โสมที่มีแหล่งกำเนิดจากเอเซียเรียกว่า Asian ginseng โสมจากประเทศอเมริกาเรียกว่า American ginseng (Panax quinquefolius L.) ให้ผลการรักษาน้อยกว่าโสมจากเอเซีย อีกชนิดหนึ่งคือ Siberian ginseng ส่วนประกอบจะไม่เหมือนสองชนิดแรก โดยให้ผลการรักษาอ่อนสุด โสมไซบีเรียไม่ใช่โสมที่แท้จริงตามสายพันธุ์ของโสม แต่เชื่อว่ามีระบบการทำงานคล้ายโสม โสมเกาหลีมีฤทธิ์อุ่น สรรพคุณเพิ่มเลือดและสมรรถภาพทางเพศ ชาวเกาหลีออกเสียงเรียกว่า "อินซัม" โสมมักเจริญเติบโตในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น บริเวณเส้นรุ้งที่ 22-48 องศาเหนือ และเส้นแวงที่ 85-140 องศาตะวันออก ได้แก่ ดินแดนแถบประเทศเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ตลอดจนเส้นแวงที่ 70-97 องศาตะวันตก ได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา พันธุ์ของโสมนั้นมีหลายพันธุ์ ปลูกในหลายประเทศ อาทิ Panex Ginseng เป็นโสมปลูกในเกาหลี Panex quinquefolium ปลูกในอเมริกาเหนือ Panex notoginseng ปลูกมากในจีน Panex trifolius ปลูกมากในแถบอเมริกาตะวันออกเฉียงเหนือ Panex pseudoginseng ปลูกมากในเนปาลและเทือกเขาหิมาลัย Panex japonicus ปลูกมากในญี่ปุ่น
โสมมีทั้งโสมที่ขึ้นอยู่ในป่าตามธรรมชาติ และโสมที่มนุษย์ปลูกขึ้น รากโสมนั้นมีลักษณะคล้ายร่างกายมนุษย์ ตามตำรายาของสมัยโบราณกล่าวว่า ยิ่งโสมมีลักษณะใกล้เคียงมนุษย์มากเท่าไร ก็แสดงว่าโสมนั้นมีคุณค่ามากและมีราคาแพง โสมป่าจะมีคุณประโยชน์มากกว่าโสมปลูก ชาวบ้านพูดกันว่าโสมป่าที่ขึ้นตามธรรมชาตินั้นมีค่าดังทองคำ ในสมัยโบราณจึงมีการออกป่าเพื่อหาโสมกันมาก ก่อนที่จะออกป่าหาโสมนั้นจะต้องมีการทำพิธีต่างๆ เพื่อให้ร่างกายของพรานโสมมีความบริสุทธิ์ เช่น ชำระล้างร่างกายในธารน้ำเย็นก่อนเข้าป่า ไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้คุ้มครองจากสัตว์ร้ายในป่า และขอให้ได้พบโสมตามที่ต้องการ ในปัจจุบันโสมป่านั้นหายากเต็มที หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ชาวเกาหลีจึงนิยมทำแปลงปลูกโสมเองบริเวณเชิงเขา เวลานั่งรถไปตามชนบทจะเห็นแปลงโสมอยู่มากมาย ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามอีกแบบหนึ่ง เกษตรกรจะนำเอาพลาสติกมาขึงแล้วคลุมด้วยหญ้าฟางเป็นหลังคา







เพิ่มสมรรถภาพการทำงานของร่างกาย
  1. โสมมีคุณสมบัติต่อต้านความเมื่อยล้า ทำให้ร่างกายปลดปล่อยพลังงานมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะทำงานหรือออกกำลังกาย สารพลังงานเอทีพีและกลัยโคเจนที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อจะถูกใช้หมดอย่างรวดเร็ว และเกิดกรดแลคติกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้กล้ามเนื้อเมื่อยล้า สารสกัดจากโสมช่วยให้เซลล์ดูดซึมออกซิเจนเพิ่มขึ้น มีผลทำให้กระบวนการเผาผลาญภายในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ร่างกายปลดปล่อยพลังงานได้มากขึ้น ขณะเดียวกับอัตราการเกิดกรดแลคติกก็จะน้อยลง เนื่องจากได้รับการการสังเคราะห์ให้กลับเป็นกลัยโคเจนใหม่ และมีการสะสมสารเอทีพีรวดเร็วขึ้น อัตราการเกิดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อจึงลดน้อยลงด้วย
  2. สารสกัดจากโสมช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้กลับคืนสู่สภาพปกติรวด เร็วยิ่งขึ้น ร่างกายจึงเหน็ดเหนื่อยช้าลง มีความอดทนต่อการทำงานได้ดีขึ้น
  3. โสมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่าง ๆ มากมายจึงได้รับการพิจารณาให้เป็นสมุนไพรรักษาโรคที่ได้รับความนิยมมากที่ สุดชนิดหนึ่งของโลก ด้วยคุณสมบัติหลายประการ รวมถึงการช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ และโดยเฉพาะ คุณสมบัติที่โดดเด่น คือ การเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายภายใต้สภาวะที่อ่อนเพลีย
  4. โสมมีคุณสมบัติลดความเครียด ช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้ทนต่อภาวะต่างๆ ได้มากขึ้น และยังช่วยลดความเมื่อยล้า โดยกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น
  5. โสมมีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการสร้างและเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำให้นักกีฬามีความทนทานต่อการออกกำลังหนักได้ดีขึ้น และช่วยให้ร่างกายสามารถนำพาออกซิเจนไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผลต่อความเครียด
  1. สารสกัดจากโสมมีคุณสมบัติต้านความเครียด โดยฮอร์โมน ACTH จากต่อมใต้สมองจะเป็นตัวควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันและต่อต้านความเครียด โดยเร่งกระบวนการเมตาบอลิสซึมต่างๆ เพื่อปลดปล่อยพลังงานและสารออกมาต้านความเครียด
  2. ช่วยปรับสภาพร่างกายและจิตใจ ให้ทนต่อความกดดันจากภายนอก โสมเร่งขบวนการเผาผลาญอาหารต่างๆ เพื่อปลดปล่อยพลังงานออกมาต่อต้านความเครียด
  3. ลดการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดจากต่อมหมวกไต
  4. ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในหญิงวัยหมดประจำเดือน
ผลต่อสมรรถภาพทางเพศ
  1. เชื่อกันว่าโสมมีฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้นกำหนัดทางเพศ แต่การวิจัยค้นความด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่พิสูจน์ว่าโสมไม่ได้มี ฤทธิ์ต่อฮอร์โมนเพศ หากการบำรุงด้วยโสมทำให้สมรรถภาพร่างกายและจิตใจสมบูรณ์แข็งแรง จึงส่งผลให้สมรรถภาพทางเพศมีความสมบูรณ์ขึ้นไปด้วย
  2. เสริมประสิทธิภาพทางเพศในชาย มีงานวิจัยในผู้ป่วยที่มีปัญหาองคชาติไม่แข็งตัว ( Erectile dysfunction ) 45 รายโดยรับประทานโสมเกาหลี ปริมาณ 900 ม.ก. 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลาสองเดือน พบว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในการประเมินอย่างละเอียดทุกด้าน โสมจึงช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
  3. รักษาโรคสมรรถภาพทางเพศเสื่อม ผลต่อสมรรถภาพทางเพศ ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าโสมเป็นตัวกระตุ้นกำหนัดทางเพศ แต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่า โสมไม่ได้ทำให้ฮอร์โมนทางเพศเปลี่ยนแปลงเลย การที่โสมช่วยให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น เป็นผลจากคุณสมบัติที่ทำให้สุขภาพจิต และสมรรถภาพทางร่างกายดีขึ้น
  4. ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ
ผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
  1. สารสกัดจากโสมทำให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดอาการชาตามนิ้วมือและปลายเท้า การเกิดแผลเน่าเปื่อย นอกจากนี้สารจินซีโนไซด์ Rb1 และ Re ยังมีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน ช่วยลดขนาดการใช้อินซูลินในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้
  2. สารไบโอแอกทีฟในโสมช่วยรักษาเบาหวาน
  3. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ เสริมฤทธิ์ฮอร์โมนอินซูลินในการกำจัดน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย
ผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
  1. โสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผลการทดลองพบว่าสารสกัดโสมช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
  2. ปฏิกริยาตอบสนองของเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ ดีขึ้น
  3. กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสร้างสารอินเทอเฟียรอน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านไวรัส และกระตุ้นการสร้างอินเทอลิวคิน-1
  4. อัตราการทำลายจุลินทรีย์หรืออนุภาคแปลกปลอมต่างๆของเซลล์เม็ดเลือดขาว เพิ่มขึ้น จำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลทำให้ร่างกายสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อโรค ที่มีสาเหตุจากเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อไวรัส เชื้อรา และสารเคมีต่างๆ ตลอดจนการต่อต้านโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดต่างๆ
ช่วยเร่งฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วย
  1. จากการศึกษาวิจัยและผลทางคลีนิกพบว่าโสมสามารถต่อต้านโรคและอันตราย จากรังสีรวมถึงสารพิษต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อโรคแทรกซ้อนบางชนิด ช่วยร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง และเพิ่มสมรรถภาพในการต้านความเครียดซึ่งส่งผลให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวหายเป็นปกติจากอาการป่วยได้เร็วขึ้น
  2. ช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น ช่วยเจริญอาหาร
  3. ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญอาหารได้ดีขึ้น

ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
  1. ในขนาดต่ำจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ช่วยให้ตื่นไม่ง่วง ในขนาดสูงออกฤทธิ์กดประสาท ทำให้หลับสนิท ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับ สารจินซีโนไซด์ Rg1 จากโสมหรือในสารสกัดโสมจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางให้ตื่นตัว แต่จะเป็นการออกฤทธิ์ที่แตกต่างจากยากระตุ้นประสาทจำพวกแอมเฟตามีนหรือโคเคน จึงไม่ทำให้กระทบกระเทือนต่อการนอนหลับตามปกติ ส่วนจินซีโนไซด์ Rb และ Rc จะออกฤทธิ์ระงับประสาท ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด สารสกัดจากโสมจึงมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยเป็นทั้งตัวช่วยให้ประสาทตื่นตัวและระงับผ่อนคลายประสาท
  2. ช่วยการเรียนรู้และความจำ ใช้รักษาโรคความจำเสื่อม
  3. ช่วยลดความเครียด ช่วยลดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และความเหนื่อยล้าของสมอง
  4. โสมมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นและการได้ยิน
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
  1. สารต้านอนุมูลอิสระในโสมช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ชะลอความชราภาพของเซลล์และอวัยวะต่างๆ
  2. กระบวนการเผาผลาญไขมันของร่างกายเพื่อให้เกิดพลังงาน เป็นสาเหตุทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่สลายตัวจากออกซิเจน อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างให้เสื่อมสลายลงตามกระบวนการของ ความชรา โสมและสารสกัดมาตรฐานโสม สามารถทำลายอนุมูลอิสระของออกซิเจนช่วยให้เนื่อเยื่อเสื่อมสภาพช้าลง ประกอบกับคุณสมบัติเป็นตัวปรับสภาพ "adaptogenic agent” ของโสม ทำให้ร่างกายและจิตใจมีความทนทานต่อความกดดัน ส่งผลในการชะลอกระบวนการเสื่อมชราให้ช้าลง และทำให้ร่างกายคงความสดใสเยาว์วัยอยู่ต่อไปได้เนิ่นนานขึ้น
  3. ช่วยลดอาการผิวหนังแห้งและเหี่ยวย่น ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น
ผลต่อระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ
  1. รักษาความดันโลหิตสูง ลดภาวะเส้นเลือดแข็งตัว และลดการจับตัวของเกล็ดเลือดในหลอดเลือด
  2. โสมมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงหัวใจโดยออกฤทธิ์คล้ายกับยา digoxin
  3. ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันภาวะเส้นเลือดอุดตัน
  4. กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเป็นปกติ ชีพจรเต้นเป็นปกติ
  5. โสมมีสรรพคุณช่วยในเรื่องโรคปอดเรื้อรัง ชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก
ผลต่อมะเร็ง
  1. ป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ปกติไปเป็นเซลล์มะเร็ง หรือเนื้องอก โดยเฉพาะบริเวณกระเพาะอาหารและรังไข่ สารไบโอแอกทีฟในโสมช่วยยับยั้งการเจริญของเนื้องอก
  2. การรับประทานโสมเกาหลีเป็นเวลานานสามารถลดอุบัติการณ์ของมะเร็งตับลงได้ ด้วยฤทธิ์ต้านสารอัลฟาท็อกซินบีและยูรีเทน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในโรคมะเร็งตับ แต่ก็ยังไม่สามารถลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งตับจากการดื่มสุราหรือสาเหตุ อื่นได้
  3. โสมช่วยลดอุบัติการณ์หรือโอกาสเป็นมะเร็งบางชนิด ได้แก่ มะเร็งริมฝีปาก ช่องปากและคอ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่
  4. ลดอัตราการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
  5. ลดอาการข้างเคียงจากการฉายรังสี
ผลข้างเคียงของโสม
1. ในบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ กระวนกระวาย นอนไม่หลับ ท้องเดิน ผื่นคันและบวม ประจำเดือนขาด หรือเจ็บเต้านม หากเกิดอาการดังกล่าวควรหยุดรับประทานให้ปรึกษาแพทย์ทันที
2. ผู้ที่รับประทานโสมมานานและปริมาณมากอาจจะเกิดกลุ่มอาการที่ประกอบไปด้วย ความดันโลหิตสูง นอนไม่หลับ มีผื่นและท้องร่วงที่เรียกว่า ginseng abuse syndrome
3. โสมแดงอาจจะเสริมฤทธิ์กับกาแฟ หรือสารที่กระตุ้น
4. แม่ที่รับประทานโสมขณะตั้งครรภ์ เมื่อคลอดลูกอาจจะมีขนมาก
5. โสมมีฮอร์โมนซึ่งทำให้เกิดอาการคัดเต้านม
6. มีรายงานการตรวจพบยาฆ่าแมลงบางชนิดในโสมที่วางจำหน่าย และบางตัวอย่างพบว่ามีปริมาณโสมน้อยกว่าที่ระบุในฉลาก
พิษวิทยา
  1. การวิจัยทางพิษวิทยาทั้งในเชิงเฉียบพลันและเรื้อรัง ยังไม่ปรากฏรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงหรือพิษที่เกิดจากการใช้สารสกัด มาตรฐานโสม แม้จะมีการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ถือว่าการรับประทานโสมหรือสารสกัดมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง
  2. ยาที่ไม่ควรทานร่วมกับโสม ได้แก่ ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชื่อ warfarin ยากระตุ้นหัวใจชื่อ digoxin ยาต้านซึมเศร้าชื่อ phenelzine และสุรา อาจมีการรบกวนประจำเดือน อาการเจ็บหน้าอกขณะมีประจำเดือน
  3. ไม่ควรทานโสมกับยาแอสไพริน รวมถึงไม่ควรทานอย่างยิ่งในสตรีตั้งครรภ์และเด็ก คนที่ตับอักเสบพบเอนไซม์ของตับสูงแล้ว หรือตับอักเสบจนตัวเหลืองตาเหลือง หรือตับโต ไม่ควรทานโสม
  4. โสมเป็นของร้อน บางคนทานแล้วก็หงุดหงิด จึงมีคำแนะนำให้ทานร่วมกับใบบัวบก ซึ่งเป็นของเย็น ผู้สูงอายุหลายคนทานโสมกับใบบัวบกเป็นประจำ
รากโสม เป็นส่วนของต้นพืชโสมที่นำมาใช้ในการบำบัดรักษา รากโสมมีรูปร่างคล้ายคน มีส่วนหัว ลำตัว แขน และขา จึงมีชื่อเรียกในภาษาไทยว่า "โสมคน" หรือที่ชาวจีนเรียกว่า "ยิ่นเซียม" ผลิตภัณฑ์จากรากโสมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ
  1. โสมชนิดสีขาว ได้มาจากรากโสมที่เก็บเกี่ยวมาสดๆ ล้างทำความสะอาดและตากแดดให้แห้ง รากโสมที่แห้งแล้วจะมีสีเหลืองปนขาว
  2. โสมชนิดสีแดง ทำจากรากชนิดเดียวกับชนิดโสมสีขาว แต่ต่างกันที่วิธีการผลิต คือจะนำเอารากโสมสดที่ล้างทำความสะอาดแล้วมาทำการฆ่าเชื้อโรค โดยการนึ่งด้วยไอน้ำที่อุณหภูมิ 120–130 องศาเซลเซียส เป็นเวลานาน 2-3 ชั่วโมง ทำให้รากโสมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนแดง จากนั้นจึงนำไปตากแดดให้แห้งสนิท 
สารออกฤทธิ์
  1. สารสำคัญในโสมที่พบในรากเป็นสาร saponin ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มจินซีโนไซด์ ginsenoside กลุ่ม panaxoside และกลุ่ม chikusetsusaponin ส่วนประกอบที่สำคัญของโสมคือสารจินซีโนไซด์ ซึ่งจะมีในโสมประมาณร้อยละ 1-2 โดยน้ำหนัก ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของโสม แหล่งที่ปลูก รวมทั้งกระบวนการผลิต พบว่าโสมที่ขายในท้องตลาดบางชนิดแทบจะไม่มีสารจินซีโนไซด์เลย เวลาหาซื้อโสมมาบำรุงร่างกายจึงควรดูส่วนประกอบของโสมคือจินซีโนไซด์เป็น สำคัญ
  2. รากโสมจะได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิผลในการบำบัดรักษา โดยไม่มีข้อโต้แย้งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลของโสมในด้านการบำรุงรักษาสุขภาพ ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้สามารถววิเคราะห์และพิสูจน์โสมใน เชิงวิทยาการและเทคโนโลยีได้ เมื่อมีผลการวิเคราะห์และพิสูจน์ ทำให้โสมได้รับความนิยมแพร่หลายและเชื่อถือกันมากยิ่งขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการป้องกันและบำบัดรักษาโรคของโสม โดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายหรือมีความเสี่ยงต่อการเสพติดเหมือนสาร เคมีสังเคราะห์อื่นๆ
  3. เมื่อนำเอารากโสมและสารสกัดจากรากโสมมาทำการวิเคราะห์และตรวจพิสุจน์ พบว่าสารสำคัญที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาเป็นสารจำพวก interpene saponins ชนิดต่างๆ ที่มีชื่อเรียกว่าจินซีโนไซด์ “Ginsenosides" การวิเคราะห์และตรวจพิสูจน์ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น High Performance Liquid Chromatography (HPLC), Mass Spectrometry (MS), Nuclear Magnetic Resonance Spectrometry (NMR) เป็นต้น ช่วยให้สามารถแยกและจำแนกสารจินซีโนไซด์จากรากโสมและสารสกัดจากรากโสมได้ อย่างน้อย 22 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาแตกต่างกัน เมื่อนำจินซีโนไซด์ทั้งหมดมาใช้รวมกัน จะมีฤทธิ์เป็นตัวปรับสภาพร่างกายให้มีความสมดุลย์ตามธรรมชาติตามที่ร่างกาย ต้องการ เรียกว่า adaptogenic agent
  4. สารจินซีโนไซด์ชนิดต่างๆที่พบในปัจจุบันนั้น มีสารสำคัญหลักอยู่ด้วยกัน 6 ชนิด คือ Rb1, Rb2, Rc, Rd, Re และ Rg ส่วนที่เหลือเป็นสารฤทธิ์รองคือ Rb3, Ra, Ra1, Ra3, RO, Rg1,Rg2, Rg3, Rh1นอกจากสารจินซีโนไซด์ชนิดต่างๆ แล้วยังพบว่ารากโสมมีสารประกอบที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากกว่าสองร้อย ชนิด ที่สำคัญได้แก่ สเตอรอล น้ำมันหอมระเหย แป้ง น้ำตาล วิตามินชนิดต่างๆ กรดอะมิโน และเป็ปไทด์
  5. สารจินซีโนไซด์เป็นตัวกำหนดคุณค่าของโสม ในโสมต่างพันธุ์หรือแม้แต่ในโสมพันธุ์เดียวกัน แต่ปลูกต่างถิ่น และรากโสมมีอายุไม่เท่ากันจะมีส่วนประกอบของจินซีโนไซด์ต่างกัน และปริมาณจินซีโนไซด์ในแต่ละชนิดก็ไม่เท่ากัน
  6. จินซีโนไซด์ที่สะสมอยู่ต่ามส่วนต่างๆ ของรากโสมมีจำนวนและปริมาณไม่เท่ากัน ในส่วนรากโสมใหญ่หรือส่วนลำตัว มีจินซีโนไซด์รวมทั้งหมดเพียง 1.5% ขณะที่ส่วนรากแขนงและรากฝอย หรือส่วนที่เป็นแขนขา มีอยู่ 3-4% และส่วนหัวมีมากถึง 5-9% คุณค่าของโสมจึงไม่ได้อยู่ที่รูปร่างลักษณะของรากโสม แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนและปริมาณของจินซีโนไซด์ที่มีอยู่ในรากโสม โดยสรรพคุณจะขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณจินซีโนไซด์ ความครบถ้วนของจินซีโนไซด์แต่ละชนิดในอัตราส่วนที่เหมาะสม
การเพาะปลูก
  1. การเพาะปลูกโสมมีกระบวนการที่ยุ่งยากและซับซ้อน โสมสามารถขยายพันธุ์ได้เฉพาะจากเมล็ดเท่านั้น ต้นโสมต้องการอุณหภูมิต่ำ สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสมและอุดมสมบูรณ์ การปลูกโสมใช้เวลายาวนานนับจากการเพาะเมล็ด ซึ่งจะต้องเป็นเมล็ดสุกและแก่เต็มที่จากต้นโสมที่มีอายุประมาณ 5 ปีเท่านั้น โสมที่จะเก็บเกี่ยวเป็นผลผลิตได้จะต้องมีอายุประมาณ 4-6 ปี ฤดูกาลที่เหมาะสมของการเก็บเกี่ยวโสมที่มีคุณภาพดีที่สุดคือระหว่างเดือน กันยายนถึงเดือนตุลาคมในแต่ละปี
  2. วิธีการปลูกคร่าว ๆ ดังนี้
    • ปีที่หนึ่ง ราวกลางเดือนกรกฎาคมเป็นการรวบรวมเมล็ดพันธุ์ ปลายกรกฎาคม–ต้นสิงหาคม เป็นช่วงคัดเมล็ดพันธุ์ ปลายตุลาคม-ต้นพฤศจิกายน เริ่มหว่านเมล็ด จนผ่านหน้าหนาวไปจนถึงกลางเดือนเมษายน
    • ปีที่สอง เมล็ดเริ่มเพาะตัว ในกลางเดือนเมษายนทำหลังคาคลุมด้วยฟาง ตุลาคมจนผ่านหน้าหนาวไปจนถึงปลายเดือนมีนาคม
    • ปีที่สาม ย้ายต้นอ่อนมาไว้ที่เรือนปลูก ปลายมีนาคม–ต้นเมษายน คลุมด้วยฟาง ตุลาคมจนผ่านหน้าหนาวไปจนถึงเดือนมีนาคม
    • ปีที่สี่ เอาฟางที่คลุมออก มีนาคมเริ่มพรวนดินใหม่ พฤษภาคม–กันยายน คลุมด้วยฟาง ตุลาคมจนผ่านหน้าหนาว
    • ตั้งแต่ปีที่สี่ จะวนซ้ำตามขั้นตอนนี้ จนกระทั่งครบ 6 ปี
  3. การเก็บโสม ส่วนที่เก็บคือราก การเก็บรากโสมต้องทำให้แห้งโดยเร็ว เพื่อป้องกันมิให้เอนไซม์ออกมาทำลายสาร saponin ในประเทศเกาหลีจะมีการคัดโสมคุณภาพดีจำนวนหนึ่งอบไอน้ำเพื่อทำลายเอนไซม์ให้ หมดก่อนอบแห้ง เรียกโสมที่ผ่านกรรมวิธีนี้ว่า โสมแดง จัดเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงสุด ราคาสูง ส่วนโสมที่นำไปตากแดดหรือทำให้แห้งโดยวิธีอื่น เรียกว่าโสมขาว คุณภาพและราคาต่ำกว่าชนิดแรก
  4. โสมที่นิยมรับประทานควรมีอายุอย่างน้อย 6 ปี เมื่อปลูกครบ 6 ปีแล้วก็จะขุดหัวได้ ขุดลงไปประมาณ 5-10 เซ็นติเมตร จึงเห็นรากโสม โสมต้นหนึ่งจะมีหัวเดียว ความสูงของหัวโสมประมาณ 7-10 เซ็นติเมตร ส่วนหัวโสมสดหัวเล็ก ๆ ที่มีอายุน้อยกว่า 6 ปีชาวเกาหลีนิยมนำมาตุ๋นกับซุปไก่ตัวเล็ก ๆ ยัดไส้ข้าวเหนียว รับประทานเป็นอาหาร ที่ขึ้นชื่อคือซุปไก่ตุ๋นโสม ถ้าไม่ได้ชิมก็เหมือนกับไปไม่ถึงเกาหลี
  5. มีการปลูกโสมกันอย่างกว้างขวางในประเทศเกาหลี ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศและคุณภาพของดินเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต โสมควรปลูกในที่ร่มและมีการเจริญเติบโตช้าเมื่อเทียบกับพันธุ์ไม้ชนิดอื่น และยังค่อนข้างเปราะบาง ได้เคยมีการนำสารเคมีมาสังเคราะห์ขึ้นเพื่อขยายการเจริญเติบโตของมันให้รวด เร็วขึ้น โดยการปรับปรุงดิน ผลปรากฏว่า รากของโสมมักจะเน่าและตายลงเสมอ ดังนั้นโสมจะเจริญเติบโตได้ดีเฉพาะในดินธรรมชาติเท่านั้นและดูดซึมเอาแร่ ธาตุที่มีประโยชน์มาเก็บไว้ในรากของโสมซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10-15 ปีถึงจะได้ลำต้นที่มีลักษณะที่สมบูรณ์อีกครั้ง เมื่อปลูกครบ 6 ปีแล้วที่ดินตรงนั้นจะใช้ปลูกโสมไม่ได้เลยเป็นเวลา 15 ปีเพื่อรอให้ดินบริเวณนั้นมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์พร้อมที่จะปลูกโสมในครั้ง ต่อไป

ห่อสิ่วโอว (He Shou Wu) ราชินีแห่งสมุนไพร

HE SHOU WU (ห่อสิ่วโอว)  何首烏
สมุนไพรโชวู (Fo-Ti)
HE SHOU WU (ห่อสิ่วโอว)  何首烏  สมุนไพรโชวู (Fo-Ti)

 “โชวู” คือสมุนไพรชนิดหนึ่งในตระกูล Smartweed ชื่อPolygonum multiflorum ได้รับสมญานามว่าเป็นราชินีแห่งสมุนไพร โชวูมีสารสำคัญธรรมชาติ ที่ไม่เพียงแค่ต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่ยังสามารถกวาดอนุมูลอิสระทิ้งออกไปจากร่างกายได้อีกด้วย มีรสฝาด-หวาน ฤทธิ์อุ่นเล็กน้อย ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของตับ และไต




สรรพคุณ:
-ช่วยให้ผมดำสลวย ป้องกันผมหงอกขาวก่อนวัยและป้องกันเส้นผมหลุดร่วง
-ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ จึงช่วยทำความสะอาดลำไส้ ทำให้ลำไส้ย่อยและดูดซึมอาหารได้ดี
-บำรุงตับ ไต ไขกระดูก ใช้รักษาอาการวิงเวียน นอนไม่หลับ หูอื้อ ตาฟาง ตาลาย ฝันเปียก ตกขาว ริดสีดวงทวาร ปวดเมื่อยเอวและหัวเข่า หนองใน แก่ก่อนวัย
-บำบัดวัณโรค ต่อมน้ำเหลืองที่คอ
-ลดไขมันในเลือด ขจัดคอเลสเตอรอล ป้องกันหลอดเลือดตีบแข็ง เหมาะสำหรับใช้บำบัด โรคหลอดเลือดแดง หัวใจตีบแข็ง
-ลดความดันโลหิต
จะใช้รับประทานเป็นยาหรืออาหารก็ได้

สำหรับใช้ปรุงอาหาร เป็นอาหารบำรุงชั้นเยี่ยมตามตำราโบราณของจีน:
-ใช้ฮ้อซิ่วโอว 60 กรัม ต้มใส่ไข่ไก่ 2 ฟอง ด้วยน้ำสะอาด 3 ชาม
-ใช้ฮ้อซิ่วโอว 18 กรัม ตุ่นใส่เนื้อไก่และเก๋ากี้กับตังกุย 12 กรัม

ข้อควรระวัง:
-ผู้ที่มีอาการท้องร่วง เหนื่อยเพลีย รับประทานอาหารได้น้อย ห้ามรับประทาน
-ห้ามรับประทานร่วมกับผักกาด ต้นหอม กระเทียม เนื้อหมู เลือดหมู เนื้อแพะ เลือดแพะ
-ห้ามใส่ในภาชนะเหล็ก