ซีอิ๊ว


 ซีอิ๊วนั้นจะว่าไปก็ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของชาวตะวันออกอย่างแท้จริง 


กล่าวย้อนไปในสมัยอดีตนั้น ซอสปรุงรสเค็ม ในจักรวรรดิโรมันเองก็เกิดวัฒนธรรมการใช้ซอสเหมือนบ้านเรา แต่เขาจะเรียกว่า การุม/ลิควาเมน ซึ่งนัยหนึ่งก็คือน้ำปลาฝรั่ง(หมักจากแอนโชวี่และเกลือ)นั่นเอง
แต่เหนือจากนั้นทางซีกโลกตะวันตก ความนิยมใช้เกลือเป็นส่วนประกอบในการอาหารมากกว่า แต่ก็เกิดวัฒนธรรมคู่ขนานอีกก็คือ แมกกี้(ซอสปรุงรส)นั่นเอง แต่ถ้าเทียบกับประวัติการทำซีอิ๊วนั้นก็ถือเสียว่าตามหลังอยู่มากโข

คนจีนนั้นรู้จักถั่วเหลืองมานานแล้ว ตั้งแต่สมัน 3500ปีที่แล้ว ว่ากันว่าซีอิ๊วนั้นเกิดขึ้นในราชวงศ์จู(246-1134ปี ก่อนคริสตกาล) โดยเรียกมันว่า chiang/jiang แต่ก็ว่ากันว่าซีอิ๊วในสมัยนั้นอาจไม่ได้มีวิธีการผลิตอย่างสมัยนี้ แต่เป็นถั่วเหลืองหมักทั้งเมล็ดจนพัฒนาเป็นเต้าเจี้ยวเเบบเมล็ด และแบบข้นเช่นมิโสะญี่ปุ่น จนพัฒนาเป็นน้ำกรองจากถั่วเหลืองหมักกับข้าวและน้ำเกลือ
ล่วงเข้าถึงสมันราชวงศ์ซ้อง(ค.ศ.960-1279) ซีอิ๊วจึงเริ่มแพร่หลายมาก ถึงขั้นเป็น 1ใน7สิ่งจำเป็นของวิถีจีน คือ ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ น้ำส้มฯ ชา ซีอิ๊ว และในสมัยนี้ คำว่า chiang ก็เริ่มทีความหมายเจาะจงถึงซีอิ๊ว ไม่ใช่หมายถึงถั่วเหลืองหมักเหมือนเมื่อก่อน ดังที่ต่อมาจีนได้เรียกซีอิ๊วว่า "เจี่ยงอิ้ว" และรับต่อไปถึงญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นนั้นเริ่มใช้ซีอิ๊วมาจากการทำมิโสะก่อนที่จะเอามาหมักกับข้าวคั่วและน้ำเกลือเพื่อกรองเป็นซีอิ๊ว ช่วงปีค.ศ.1561-1661 ซีอิ๊วยี่ห้อ คิคโคแมน เริ่มหมักที่หมู่บ้านโนดะทางตะวันตกของเอโดะ จนปี 1630 โชยุนั้นก็ได้แพร่หลายจนกลายเป็นวิถีการกินของคนญี่ปุ่น
และถึงจะมาทีหลังแต่ดังกว่า โชยุนั้นดูจะแพร่หลายโด่งดังมากกว่าต้นแบบของมันเสียอีก รากศัพท์ของโชยุ มาจากภาษาจีนกวางตุ้งที่เรียกซีอิ๊วว่า ซิโหย่ว ภาษาจีนกลางว่า ซิยุ

ซีกโลกตะวันตกเพิ่งรู้จักซีอิ๊วครั้งแรกจากญี่ปุ่น โดยนำเข้ามาเมื่อช่วง คริสตศตวรรษที่17 โดยพ่อค้าชาวฮอลันดา โดยเรียกมันว่า โซย่า(soya) ลือกันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่15 โปรดปรานมันมาก
ภาษาอังกฤษได้เรียกชื่อของมันตามคำว่า soya/soy ตามภาษาดัตช์ เหมือนที่เรียกถั่วเหลือง จนภายหลังได้เปลี่ยนชื่อมันเป็น soy sauce จนปัจจุบัน

คนจีนนั้นเมื่ออพยพไปที่ไหนก็จะเอาซีอิ๊วไปที่นั่น เช่น เกาหลี อินโดฯ ฟิลิปินส์ เวียดนามฯลฯ
ในไทยนั้นเรียกชื่อตามสำเนียงแต้จิ๋ว ว่า "ซีอิ๊ว" ซึ่งแปลว่า "ซอสถั่วเหลือง"
แต่การหมักซีอิ๊วของคนจีนในไทยแรกๆกลับเป็นของคนกวางตุ้ง ที่มาค้าขายในไทยโดยหมักขายเองใช้เองในร้านขายของชำ จนต่อมาเริ่มมีอุตสาหกรรมมากขึ้นจึงขยับขยายเป็นโรงงานเช่น หยั่นหว่อหยุ่น หรือง่วนเชียง ก็พัฒนามาจากซีอิ๊วร้านชำนี่หละ


การผลิต
ซีอิ๊วเป็นซอสที่เกิดจากการหมัก ดังนั้นจะเปรียบกับไวน์ก็คงไม่เกินเลยไปนัก โดยพื้นฐานนั้นซีอิ๊วเกิดจากปฏิกิริยาของถั่วเหลืองในน้ำเกลือ โดยมีเชื้อราเป็นตัวเริ่ม ข้าวสาลี/แป้งอื่นๆ ผสมกันให้เกิดความกลมกล่อมขึ้น

ถั่วเหลือง
ถั่วเหลือที่ดีคือถั่วเหลืองที่มีปริมาณโปรตีนมาก ถั่วเหลืองที่ใช้ทำซีอิ๊วมักเลือกขนาดเล็กแต่มีโปรตีนมาก เปลือกหนาเหนียวไม่แตกง่ายเวลาต้ม ว่ากันว่าถั่วที่ดีที่สุกนั้นมาจากแมนจูเรียในจีน
บางครั้งการใช้ถั่วเหลืองในการหมัก จะใช้ถั่วเต็มเมล็ด หรืออาจใช้กากถั่วเหลืองที่สกัดน้ำมันเอาไปทำน้ำมันถั่วเหลืองแล้วก็ได้

ข้าว/แป้ง
โดยทั่วไปมักใช้ข้าวสาลี เพราะรสและกลิ่นหอมมากกว่าข้าวอื่นๆ แต่ซีอิ๊วบางชนิด อาจไม่ใส่เลยก็ได้
ข้าวที่มหักนั้นก็มีหลายทั้งแบบคั่วแล้วโม่ละเอียด หรือแบบแป้งสาลีไปเลย

เชื้อรา
Aspergillus oryza และ A. soyae เป็นเชื้อที่นิยมเอามาใช้เพราะประสิทธิภาพสูงในการสร้างเอนไซม์ เพาะเลี้ยง่าย และเมื่อหมักไปเชื้อก็จะค่อยๆตายไปเอง เราใช้เชื้อราแค่เป็นตัวเร่งการสลายโปรตีนเท่านั้น
เชื้อAspergillus oryza นำมาใช้ในการผลิตเหล้าเหลืองด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รสหรือกลิ่นของเหล้าจีน บางคนว่าคล้ายซีอิ๊ว

น้ำเกลือ
นิยมใช้เกลือทะเลละลายน้ำ โดยเข้มข้นที่17-22% ซึ่งพอที่ยับยั้งไม่ห้แบคทีเรียที่ทำให้เน่าเติบโต และไม่เข้มเกินไปที่จะทำให้จุลินทรีย์จากเชื้อราโตได้

แสงแดด
เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงแดดดีก็จะทำให้การหมักเร็วขึ้น การผลิตซีอิ๊วในไทย จึงใช้เวลาสั้นกว่าของชาติอื่น แต่ในปัจจุบันใช้การคุมอุณหภูมิแทนแล้ว ซึ่งสะดวกกว่ามาก


ระยะเวลาหมัก
หมัก1ปี กลิ่นดี
หมัก2ปี รสดี
หมัก3ปี สีดี
ระยะเวลานั้นมักอยู่ที่6-8เดือน แต่อย่างน้อยก็ต้องหมัก1-2เดือน ถึงจะได้ซีอิ๊ว ยิ่งหมักสั้น สีจะอ่อนและเค็มจัด แต่เมื่อหมักต่อๆไปสีจะเข้มขึ้นงและรสเค็มลดลง ความหนืดก็เพิ่มขึ้น กรดอะมิโนเยอะขึ้น
ซีอิ๊วที่หมักได้ตามเวลานั้นจะได้สีน้ำตาลแดงเข้ม จนผ่านไปสีจะเข้มจนถึงดำ  แต่ถ้าสีจางๆ เกิดจากใช้ตัวเร่งให้เกิดการหมัก เช่นการใช้ความดันเร่งให้หมักไวขึ้น หรือแม้ระทั่งการที่ผสมน้ำเกลือเจือจางมากเกินไป ทำให้ได้ซีอิ๊วคุณภาพต่ำ


วิธีทำ

- ถั่ว เหลือง 0.5 กก.
- แป้งสาลี หรือแป้งข้าวเจ้า 150 กรัม
- ส่าเชือ 1-2 ช้อนชา
- น้ำเกลือ (17-22% การเตรียมน้ำเกลือควรทำล่วงหน้าไว้ก่อน 1 วัน) 2 ลิตร

-นำถั่วเหลืองมาล้างสิ่งปนเปื้อน แช่น้ำ8-10ชั่วโมง โดนเปลี่นน้ำตลอดด้วยวิธีน้ำล้น เพื่อป้องกันการเน่าเสีย
-นึ่งถั่วเหลืองให้สุกแล้วผึ่งแห้ง
-นำผสมกับแป้งและเชื้อรา แล้วเกลี่ยทิ้งไว้3-4วันจะมีเส้นใยเกิดขึ้น ก็จะได้ก้อน"โคจิ"
-น้ำโคจิใส่ถังหมัก เติมน้ำเกลือจนท่วม เพื่อให้ไดโมโรมิ หลังจากเตรียมโมโรมิแล้วจะทิ้งไว้ให้เกิด
การหมักขึ้น คนสัปดาห์ละครั้งเพื่อไล่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก และยังยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการ หมักภายใต้แสงแดด แต่ไม่ให้โดนน้ำค้างและน้ำฝน
-ถ้าเป็นการหมักแบบธรรมชาติ ไม่มีการควบคุมอุณหภูมิจะใช้เวลาในการหมัก 12-14 เดือน แต่ถ้ามีการควบคุมอุณหภูมิช่วง 35-40 องศาC ระยะเวลาในการหมักและการบ่มจะเหลือเพียง 2-4 เดือน
-ได้ที่แล้วเอามากรอง โดยใช้ผ้าบิด หรือเครื่องอัด
-ในตอนท้ายอาจมีน้ำมันถั่วเหลืองปนมาด้วย จึงมักทิ้งไว้4วันให้น้ำันลอยแล้วแยกออก
-พาสเจอไรซ์ บรรจุขวด




ซีอิ๊วจีน


  • light เชิงโชว/เจียงชิง รสเบา ไม่หนืดข้น ทึบแสง และสีน้ำตาลดำ ถือว่าเป็นตัวแม่บทของซีอิ๊วทุกชนิด  แยกย่อยไปอีกก็จะมี 
  • touchou ทำจากถั่วเหลืองน้ำแรก เหมือนextra virgin olive oil 
  • shuanghuang หมักสองครั้ง ซึ่งรสจะซับซ้อนขึ้นไปอีก ซึ่งจริงแล้วก็ยากในการจำแนก แต่รวมๆแล้วก็มักไว้ใช้จิ้ม
  • dark/old เล่าโฉว สีเข้มและข้นหมักนาน ใส่โมลาส ซึ่งเป็นลักษณะเด่น นิยมใส่ในระหว่างทำอาหารกลิ่นจะเปลี่ยนหลังได้รับความร้อน รสจะคมขึ้นเเละหวานเล็กๆ รสมักจะเค็มน้อยกว่าแบบขาว โดยมากจะใส่เพื่อให้สีและกลิ่น มากกว่าให้รสเค็ม
  • thick เจียงโย่วเกา ซีอิ๊วดำข้นและด้วยแป้งและน้ำตาล บางทีใส่ชูรสลงไปผสมมักใช้จิ้ม หรือราดลงไปในอาหารเพื่อเติมกลิ่น
  • dark soy paste/เต้าเจี้ยว ฮวงเจียง แม้ว่าไม่ใช่ซีอิ๊วแต่ก็ถือว่าเป็นแบบหนึ่งของซีอิ๊วเป็นวัตถุดิบหลักของ จาเจี้ยงเมี่ยน จริงๆแล้วมันก็คือเต้าเจี้ยวนั่นหละ
  • ซีอิ๊วนึ่งปลา ใช้ซีอิ๊วขาวมาผสมกับยีสต์สกัด(ซอสปรุงรส)เพื่อกลิ่นที่เข้มข้นขึ้น



ญี่ปุ่น


  • Koikuchi  ซีอิ๊วแบบฝั่งคันโต ใช้แทบทุกอย่างในอาหารญี่ปุ่น เกือบ80%  ถือเป็นซอสแม่บท ทำจากถั่วเหลืองและข้าวสาลีในปริมาณที่พอๆกัน ใช้ชื่อkijoyu/namashoyu ในแบบที่ไม่พาสเจอไรซ์
  • Usukuchi   ซีอิ๊วแบบฝั่งคันไซ เค็มและใสกว่า Koikuchi
  • Tamari   ถือกำเนิดมาจากตอนกลางของประเทศญี่ปุ่นChubu region ทามาริเข้มกว่าทั้งสีและรส ใส่แป้งสาลีน้อย/ไม่ใส่เลย ซึ่งเหมาะสำหรับการไดเอทแบบไม่มีแป้ง(แอทกินส์) ซึ่งต้นแบบของโชยุชนิดนี้มาจากจีน โดยเริ่มจากการหมักมิโซะ จะได้miso-damari หรือที่เรียว่ามิโซะน้ำนั่นเอง
  • Shiro  สีอ่อนมาก ตรงข้ามกับทามาริ ใช้ข้าวสาลีมากและถั่วน้อย รสเบาและอมหวาน มักใช้ในแถวคันไซ เช่นใช้กับซาชิมิ
  • Saishikomi(ต้มสองครั้ง) รสดี เข้มข้น และก็ถือว่าใช้แทนกันได้กับ tamari แต่ก่อนทำจากการหมักถั่วเหลืองต่อกับ koikuchiแทนการใช้น้ำเกลือ ดังนั้น จะดำกว่าและรสแรงกว่า โดยมีอีกชื่อว่า kanro shoyu หรือโชยุหวาน


    โชยุแบบใหม่ๆของญี่ปุ่น

  • Gen en(เกลือน้อย)  เค็มน้อย โดยเป็นทางเลือกหนึ่งของโชยุ
  • Amakuchi  เป็นโชยุของฮาวาย พัฒนาจากkoikuchi


   เกรดของโชยุ

  • Honjozo hoshiki  100% หมักธรรมชาติ
  • Shinshiki hoshiki  30-50% หมักธรรมชาติ
  • Tennen jozo เทนเนน โจโซ แปลว่าไม่ใส่แอลกอฮออล์


  เกรดของโชยุสำหรับการขาย

  • Hyojun เฮียวจุน ปกติ พาสเจอไรซ์
  • Tokkyu ทคคิว คุณภาพพิเศษ ไม่พาสเจอไรซ์
  • Tokusen โทคุเซน เกรดดีมาก ผลิตน้อยโดย ผลิตเป็นครั้งคราวเท่านั้นและไม่จัดอยู่ในกับการแบ่งเกรด
  • Hatsuakane ฮัทสึอาคาเนะ เกรดอุตสาหกรรม สำหรับผลิตเป็นกลิ่นหรือเป็นผงสำเร็จรูป
  • Chotokusen ชตโตะคุเซน สำหรับซื้อขายในตัวแทนจำหน่าย ถือว่าเป็นเกรดตัวอย่าง



อินโดนีเซีย

ซีอิ๊วในอินโดถือได้ว่าเป็นประเทศที่นิยมใช้และผลิตซีอิ๊วได้ดีมากแห่งหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากในอดีต คนจีนอพยพมาจากแผ่นดินจีนตอนใต้ ซึ่งในอาหารอินโดก็ถือว่าเป็นส่วนผสมของวัฒนธรรมการกินแบบจีนอยู่พอสมควร

  • Kecap asin เคชัป อาซิน  ซีอิ๊วรสเค็ม คล้ายซีอิ๊วขาวจีน แต่เข้มกว่าและกลิ่นจะหนักแน่นกว่า สามารถใช้เเทนกันได้
  • Kecap manis เคชัป มานิส ซีอิ๊วหวาน ข้นเป็นน้ำเชื่อม มีกลิ่นของโมลาสเพราะใส่น้ำตาลโตนด สามารถใช้โมลาสกับสต๊อกผักแทนได้
  • Kecap sedang กึ่งกลางระหว่างKecap asinและKecap manis
  • Kecap inggris วูสเตอรซอส
  • Kecap Ikan น้ำปลา


ไต้หวัน
ซีอิ๊วไต้หวันได้อิทธิพลจากทางฟูเจี้ยน/กวนตง ซึ่งแยกกับจีนตอนเกิดสงคราม ดังนั้น ซึ่งซีอิ๊วไต้หวันนั้นจึงมีพื้นฐานจากจีน แต่ใช้วิธีการผลิตแบบญี่ปุ่น โดยรวมถือว่าเป็นประเทศที่ผลิตซีอิ๊วได้รสดีมากเลยทีเดียว

เกาหลี
Joseon ganjang เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจาก doenjang(เต้าเจี้ยวเกาหลี) ใสและสีน้ำตาลดำ บางชนิดทำจากถั่วเหลืองกับน้ำเกลือ ส่วนความเค็มนั้นผันผวนตามผู้ผลิต มักใช้แยกกัน

  • สีส้ม - สำหรับจิ้ม
  • สีเหลือง - สำหรับปรุงซุป
  • 510s - เกรดพรีเมี่ยม


เวียดนาม
เวียดนามก็ใช้ซีอิ๊วเหมือนกัน โดยรัยกว่า xi dau /เนื้อก เทือง

มาเลเซีย
ในสิงคโปร์+มาเลเซีย จะเรียกว่า douyou ซีอิ๊วดำ jiangyou และซีอิ๊วขาว jiangqing angmoh tauyew (อั่งม๊อ เต้ายิ้ว)เป็นชื่อจีนฮกเกี้ยนของ วูสเตอร์ซอส
มาเลเซียมีวัฒนธรรมคล้ายอินโดฯ ใช้คำว่า kicap กับ ซีอิ๊ว โดยมี2แบบคือ

  • Kicap lemak เหมือน manis แต่น้ำตาลน้อยกว่า
  • kicap cairเหมือน asin


ฟิลิปินส์
เรียกว่า toyo สีสันนั้นใกล้เคียงกับpatis(น้ำปลา)และsuka(น้ำส้มอ้อย) รสของมันมาจาก ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เกลือและคาราเมล ใสและเค็ม คล้ายโชยุ ใช้ตั้งแต่หมักยันปรุง โดยมักเสิร์ฟคู่กับ ส้มจี๊ด

ฮาวาย
เอกลักษณ์คือ Aloha Shoyu Company since 1946 เป็นซีอิ๊วผสมพิเศษจาก ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เกลือ
เกิดในช่วงที่คนญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ บางทีเรีัยกว่า show you แผลงจากคำว่า โชย


ซีอิ๊วในไทย


  • ซีอิ๊วขาว  บ้านเรานั้นผลิตซีอิ๊วใสกว่าชาวบ้าน อาจเพราะอากาศก็เป็นได้ทำให้สีของซีอิ๊วบ้านเราอ่อนกว่าของชาติอื่นๆเขา อาจเพราะบ้านเรายึดติดกับน้ำปลา จึงต้องทำสีให้ใกล้เคียง เมื่ออยู่ในตลาดโลก จึงอยู่ในตำแหน่ง thin soy sauce  ส่วนซีอิ๊วขาวจีน อยู่ที่ regular soy sauce แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บ้านเราถึงว่าผลิตซีอิ๊วออกมาได้ไม่เลวทีเดียวหละ
    โดยจำแนกตามสูตรได้ดังนั้น
    สูตรทอง หัวซีอิ๊วทำจากถั่วเหลืองคุณภาพดีที่สุด หอมที่สุด สีเข้มที่สุด
    สูตร1 หัวซีอิ๊ว กลิ่นรองลงมาแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
    สูตร2 เอาสูตร1มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือฃ
    สูตร3 เอาสูตร1ผสมสูตร2มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือ
    สูตร4 หางซีอิ๊ว เอาสูตร1(น้อย)ผสมสูตร2และสูตร3 มาผสมน้ำเกลือแล้วหมักกับกากที่เหลือต่อกับน้ำตาลทรายและน้ำเกลือ
    สูตร5 เอาหางซีอิ๊วมาผสมกับกากน้ำตาล แล้วปรุงรสเป็นซีอิ๊วดำชนิดหวานแบบใสๆ
  • ซีอิ๊วดำเค็ม/หน่ำเฮียง  เป็นสูตรของจีนทางใต้ กระบวนการผลิตยุ่งากโดยอาจไม่ใช้แป้งเลย ใช้ถั่วเหลืองหมักล้วนๆ หมัก2-6เดือน เมื่อเสร็จแล้วเอามาต้มเคี่ยวอย่างน้อย5ชั่วโมง อาจเติมเครื่องเทศต่างๆเช่น อบเชน ลูกจันทน์ โป่ยกั๊ก พริกไทยฯลฯ รสเค็มจัดเเละโปรตีนมากกว่าซีอิ๊วขาว บางโรงงานมักใช้กากซีอิ๊วมาผสมน้ำเกลือแต่งสี แล้วนำออกขาย
  • ซีอิ๊วดำหวาน มักใช้ซีอิ๊วขาวมาผสมน้ำตาลให้หวานโดยมากมักใช้หางซีอิ๊วมาผสมกากน้ำตาลบางยี่ห้อจริงๆถึงใช้น้ำตาลทรายผสม ถือว่าเป็นเกรดดีโดยแบบชั้นเลวจะใช้น้ำเกลือผสมกากน้ำตาลแล้วแต่งสี รส กลิ่น เพื่อลดต้นทุน
  • จิ๊กโฉ่ว  ตามจริงแล้ว จิ๊กโฉ่วถือว่าเป็นน้ำส้มสายชูมากกว่าซีอิ๊วมักทำโดยการเอาซีอิ๊วขาวมาหมักกับเชื้อน้ำส้มสายชูประมาณ1เดือนแต่บ้านเรามีแบบชั้นเลวคือ จิ๊กโฉ่วปลอม ทำโดยการเอาซีอิ๊วผสมน้ำส้มสายชูเลย ซึ่งราคาจะถูกมาก พยามอย่าใช้
  • ซอสปรุงรส  จริงๆแล้วมันไม่ใช่ซีอิ๊ว แต่วัตถุดิบแทบจะไม่ต่างกันเลยโดยการใช้วิธีหมักแบบกึ่งเคมี คือเอากรดเกลืออ่อนๆมาช่วยเร่งการสลายโปรตีน แล้วปรับสภาพให้เป็นกลาง แต่งกลิ่น/รส ซึ่งบ้านเรามักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซีอิ๊ว จริงๆแล้วสี รสและกลิ่นจะคนละอย่างกันเลย


ประวัติซอสปรุงรสของทางฝรั่งนั้น เกิดจากนาง จูเลียส แมกกี้ ได้อยากให้คนงานทั่วไปได้รับสารอาหารจากผักมากขึ้นจึงงใช้โรงงานที่บ้านตัวเองพัฒนาสูตรซุปผักขึ้นมา ซึ่งภายหลังได้รับความนิยมมาก และกลายเป็นซอสปรุงรสยี่ห้อ"แมกกี้" ที่รู้จักไปทั่วโลก จะว่าไปซอสตระกูลนี้จะมีกลิ่นยีสต์ค่อนข้างแรง ใครเคยกิน เวจจี้ไมท์/มาร์ไมท์ ของออสเตรเลียฯจะรู้สึกได้ว่ารสมันคล้ายๆกัน

โดยซอสปรุงรสบ้านเราเรียกว่า ซอสภูเขาทอง รสเหมือนแมกกี้ โดยแบ่งเกรดตามสีฝา เรียงจาก เหลือง แดง เขียว น้ำตาล ซึ่ง
ฝาเหลืองจะใช้ถั่วเหลืองที่มีปริมาณโปรตีนมากที่สุด
ส่วนอีก3ฝา จะใช้ถั่วเกรดเดียวกันแต่ปริมาณของถั่วต่างกัน

เนื้อหาจาก น้าบัง
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/12/D7327782/D7327782.html

รูปจาก
http://www.chinesetimeschool.com/th-th/articles/preserving-the-legacy-of-natural-fermented-soy-sauce/

มหัศจรรย์ "เอนไซม์" มนุษย์อาจอายุยืนได้ถึง 120 ปี

ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีมากพอเพียง มนุษย์อาจอายุยืนถึง 120 ปีได้ เพราะเซลล์ในร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกาชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ (Low Enzyme level) โอกาสที่ท่านจะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เกิดได้ง่ายมาก ดร.ฮัมบาท แซนติลโล ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "เอนไซม์ในอาหาร" (Food Enzyme) โดยอ้างอิงจากวารสารการแพทย์ของประเทศสกอตแลนด์มีความตอนหนึ่งว่า คนเราแต่ละคนหรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ควรจะพิจารณาว่าแท้ที่จริงสุขภาพ (Health) ของเขาคือปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ (Integrate) เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้ทุกเซลล์ของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติสุข


นั่นเป็นข้อความหนึ่งจากหนังสือ "เอนไซม์ กุญแจแห่งชีวิต" เขียนและรวบรวมโดย ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์


หลายคนอาสงสัยว่า เอนไซม์ คืออะไร? แล้วคำถามต่อมาก็คือเราจะมีเอนไซม์ที่มากพอได้ด้วยวิธีใด?


เอนไซม์ คือโปรตีนที่มีลักษณะเป็นก้อน รูปร่างของโปรตีนจะเป็น กรดอะมิโน ต่อกันเป็นสายยาวๆ มีคุณสมบัติเร่งปฏิกิริยาเคมีที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต ทุกๆเซลล์ของร่างกายซึ่งมีรวมกว่า 60 ล้านเซลล์ ถ้าไม่มีเอนไซม์ ร่างกายก็จะไม่มีการหายใจ ปราศจากการย่อยอาหาร ไม่มีการเจริญเติบโตของร่างกาย การคิดและแม้แต่การนอนก็ต้องใช้เอนไซม์ ดังนั้นถ้ามนุษย์ขาดเอนไซม์ ชีวิตย่อมอยู่ไม่ได้


เอนไซม์สามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ


1. เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) จะพบได้ในอาหารดิบทุกชนิดถ้ามาจากพืชและสัตว์ แต่ถ้าอาหารนำมาปรุงแต่งโดยใช้ความร้อน เช่น ต้ม ปิ้ง จะทำลายเอนไซม์ในอาหารได้โดยง่าย เอนไซม์จะช่วยย่อยหารที่เรากินเข้าไป ความร้อนที่สูงเกินกว่า 47 องศาเซลเซียส จะทำลายเอนไซม์ ซึ่งอาหารเหล่านั้นก็จะเป็นอาหารที่ตายซากแล้ว


แต่ใครจะรับประทานอาหารที่ใช้ความร้อนต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อสัตว์ ดังนั้นส่วนใหญ่อาหารที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยไม่ผ่านความร้อนถึง 47 องศาเซลเซียส ก็น่าจะมาจากพืช ผัก ผลไม้เป็นหลักเท่านั้น ถ้าจะมีเนื้อสัตว์ที่มนุษย์จะนิยมรับประทานกันโดยไม่ผ่านอุณภูมิความร้อนกเกินกว่า 47 องศาเซลเซียส ได้ก็น่าจะอยู่เฉพาะใน "ปลาดิบ"เท่านั้น


เช่นเดียวกันอาหารเสริมที่บางคนแอบอ้างว่าเป็นเอนไซม์ ถ้าเป็นกระบวนการทางอุตสาหกรรมและผ่านความร้อนเอนไซม์เหล่านั้นก็ถือว่าถูกทำลายไปหมดแล้วเช่นกัน


2. เอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) เป็นเอนไซม์ที่มาจากร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตออกมาจากตับอ่อน (Pancreas) เพื่อใช้ย่อยอาหารและดูดซึมอาหารที่เรากินเข้าไป ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่า


3. เอนไซม์จากจุลินทรีย์ (Microorganism Enzyme)ซึ่งจุลินทรีย์สามารถผลิตเอนไซม์ปริมาณมากๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะจุลินทรีย์เพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วและมีขนาดเล็ก ในการนี้ควรจะต้องมีการคัดสายพันธุ์เพื่อให้เหมาะสมกับเอนไซม์ที่ได้ด้วย


4. เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic Enzyme) เป็นเอนไซม์ที่ผลิตในเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อการเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน สร้างความเจริญเติบโต ตลอดจนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยเอนไซม์ตัวนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี


ความจริงแล้ว เอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) กับ เอนไซม์ย่อยอาหาร เอนไซม์ที่ได้จากจุลินทรีย์ (Microorganism Enzyme) ก็มีทุกอย่างเหมือนกับ เอนไซม์ที่ผลิตจากร่างกาย (Digestive Enzyme) เพียงแต่จากต่างกันที่แหล่งที่มาเท่านั้น


นอกจากนี้ถ้าเรากินอาหารที่ไม่ดีหรือมีเอนไซม์น้อย เช่น รับประทานเนื้อสัตว์ย่างหรือทอดมากๆ ร่างกายก็ต้องใช้เอนไซม์ในร่างกายเพื่อย่อยอาหารอย่างหนัก เมื่อไม่เพียงพอก็ต้องนำเอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงานมาใช้ร่วมด้วย เมื่อใช้งานหนักมากขึ้นไปเรื่อยๆ การเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานก็จะเสื่อมลง ภูมิต้านทานและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะเสื่อมลง ทำให้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังได้ง่ายขึ้น


ปัจจุบันนักชีวเคมีเชื่อว่ามีเอนไซม์มากกว่า 80,000 ชนิด เอามาใช้ทั้งในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร เช่น อะไมเลส (มีในน้ำลาย) สามารถย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลใช้สำหรับผลิตเบียร์ น้ำเชื่อม, อินเวอร์เทส ย่อยซูโคสให้เป็นกลูโคสและฟรุกโตส ใช้ผสมในลูกกวาด, ไลเปส ใช้สำหรับย่อยไขมัน, เซลลูเลส ใช้สำหรับย่อยเส้นใยพืช, แลคเตส ย่อยแล็กโตสให้เป็นกาแล็กโตสและกลูโคส ใช้สำหรับลดน้ำตาลแลคโตสในนม ใช้ผลิตนมเปรี้ยว และ ป้องกันการตกผลึกของแล็กโตสในไอศครีม, แต่ในทางการแพทย์เพิ่งจะให้ความสนใจมากกว่าการย่อยอาหารมาประมาณ 20 ปีมานี้ แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่สังเคราะห์เอนไซม์เหล่านี้ได้เอง แต่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีววิทยาได้ก้าวหน้าไปถึงการสกัดเอนไซม์ออกมากจากพืชเพื่อนำไปใช้ทางการแพทย์โดยเฉพาะ รวมไปถึงแม้กระทั่งการนำมาใช้กับแผลคนที่ถูกไฟไหม้ให้มีสภาพเนื้อเยื่อกลับมาเหมือนเดิม เป็นต้น


คนไทยอาจจะมีความคุ้นเคยหน่อยกับจุลินทรีย์ใน "นมเปรี้ยว"ที่เรียกว่า "แลคโตบาซิลลัส" ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เลี้ยงเอาไว้ช่วยย่อยสลายน้ำตาลแลคโตสในการหมักนมแล้วได้เอนไซม์ที่ชื่อว่า แลคเตส เพิ่มเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งผู้บริโภคก็จะเพิ่มทั้งแบคทีเรียและเอนไซม์เข้าไปในร่างกายที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายด้วยในเวลาเดียวกัน เพียงแต่อาจจะต้องเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเหมาะกับเคซีนซึ่งเป็นโปรตีนในนม


ส่วนการ "หมัก" พืช ผัก ผลไม้ ที่กำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายอยู่ในเมืองไทยนั้น ย่อมทำให้เกิดเอนไซม์ได้อย่างแน่นอน และหลายคนดื่มแล้วก็รู้สึกสุขภาพดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ข้อเสียจะอยู่ที่ว่าคนไทยที่มีองค์ความรู้ส่วนใหญ่ในการหมัก มักจะไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า จุลินทรีย์ที่ใช้สำหรับหมักนั้นมีชื่อว่าอะไรและจะผลิตเอนไซม์ชนิดไหนออกมา และไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะมีจุลินทรีย์ที่เป็นโทษต่อร่างกายด้วยหรือไม่ ผลก็คือกระทรวงสาธารณสุขก็ไล่ตามจับและไม่ได้วิจัยค้นคว้าหาข้อเท็จจริง แต่ในขณะที่ผู้ผลิตบางคนก็โฆษณาสรรพคุณเกินความเป็นจริง ทำให้เอนไซม์ที่ได้จากการหมักพืช ผัก ผลไม้ในเมืองไทยส่วนใหญ่ กลายเป็นของเถื่อนที่ไม่มีการพัฒนาและไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ทั้งๆที่บ้านเมืองเราเป็นแหล่งผลิตพืช ผัก ผลไม้ ที่ดีแห่งหนึ่งของโลก


ในโอกาสนี้จึงขอยกตัวอย่างงานวิจัยที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในวงจำกัดอย่างน่าเสียดาย และไม่ได้ถูกนำมาเผยแพร่เพื่อพัฒนาเรื่องเอนไซม์ในประเทศไทย ได้แก่การผลงานการศึกษาของ ศิริพร ตันจอ จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เขียนเรื่อง "การเตรียมและประกอบอาหาร เพื่อการปรับปรุงคุณภาพของสารอาหารในถั่วเมล็ดแห้ง" ลงในวารสารโภชนาการ ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 ได้เขียนเอาไว้ในงานวิจัยเกี่ยวกับ "การหมักถั่ว" พบผลการศึกษาบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้


1. การหมัก ช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยของโปรตีนได้ดีในถั่วเมล็ดแห้ง ได้แก่ ถั่วเขียว และถั่วเหลือง การหมักถั่วเหลืองจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่า "ถั่วเน่า" พบโปรตีนถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ร่างกายนำไปใช้ได้ง่ายชึ้น หรือการหมักถั่วแดง ด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.Lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากเพาะงอกนาน 6 ชั่วโมง พบปริมาณไขมันลดลง 20-30 เปอร์เซนต์ คาร์โปไฮเดรตลดลง 10 เปอร์เซนต์ เถ้าลดลง 5-30 เปอร์เซนต์ และใยอาหารลดลง 30 - 65 เปอร์เซนต์


2. การหมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์สามารถผลิตสารสำคัญ ได้แก่ เอนไซม์ไฟเตส ย่อยสลายสารไฟเตทให้มีปริมาณลดลงมากว่า 90 เปอร์เซนต์ และสร้างกรดอินทรีย์ต่างๆ ช่วยเพิ่มความสามารถในละลายและการดูดซึมเหล็กและสังกะสี จากการหมักถั่วแดงด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.Lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากเพาะงอก 6 ชั่วโมง จะช่วยลดปริมาณสารประกอบไฟเตทได้อีก 75 เปอร์เซนต์ ปริมาณไฟเตทที่ลดลงจึงมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมได้ทั้งสังกะสีและเหล็กโดยเฉพาะธาตุเหล็ก


3. การหมักมีผลต่อโครงสร้างของไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารประกอบฟีนอลิกซึ่งพบในถั่วเมล็ดแห้ง โดยเฉพาะถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) จะอยู่ในรูปสารประกอบ glycosides โดยต้องเปลี่ยนรูปเป็น aglycones ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งโดยปกติร่างกายสามารถเปลี่ยนไอโซฟลาโวนเป็นรูป aglycones ได้เล็กน้อยจากน้ำลายของมนุษย์ ก่อนถูกดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็ก และอาศัยแบคทีเรียในลำไส้มนุษย์ผลิตเอนไซม์ Beta-glucosidase ใช้ในการเปลี่ยนรูป จากการศึกษาพบว่า การหมักจะช่วยผลิตเอนไซม์ B-glucosidase มีผลทำให้ปริมาณ aglycones ในอาหารสูงขึ้น การหมักถั่วเหลืองด้วยเชื้อจุลินทรีย์ Lactobacillus acidophilus และ Bifidobacterium longum พบปริมาณของไอโซฟลาโวน ชนิด glycones เพิ่มขึ้นเช่นกัน และการหมักถั่วเหลืองด้วยเชื้อ Lactobacillus sp. ปริมาณ daidzein และ genistein เพิ่มขึ้น 30-40 เท่า


4. การหมักถั่วแดง ด้วยเชื้อ L.plantarum และ L.lactis เป็นเวลา 12 ชั่วโมง หลังเพาะงอกงาน 6 ชั่วโมง พบสาร GABA เพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซนต์ และสารประกอบฟีนอลิกเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์ และปริมาณวิตามินบี 1 เพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์


จากการศึกษาและวิจัยชิ้นนี้ย่อมแสดงว่า "การหมักอย่างถูกวิธี" เป็นหนทางหนึ่งทำให้เกิดการเพิ่มเอนไซม์และเพิ่มคุณค่าจากอาหารได้จริง !!!

สรุปความลับของ “เอนไซม์” ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นมีอยู่ว่า

1.ร่างกายเรามีเอนไซม์อยู่จำกัด ถ้าเรากินอาหารไม่ดีหรือสร้างเอนไซม์ได้น้อย เราก็
ต้องสูญเสียเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) ไปมากขึ้น และถ้าเรามีเอนไซม์สำหรับการย่อยไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะใช้เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Matabolic Enzyme)มาช่วยในการย่อยต่อ

เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ถ้ามีน้อยลงไปตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้ร่างกายเราก็จะผลิตเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายลดลง การเร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงานก็เสื่อมลง การสร้างภูมิต้านทานน้อยลง ความสามารถในการสร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆก็ด้อยลงไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยลงของมนุษย์ในแทบทุกโรค

2.ความลับของเอนไซม์มีอยู่ที่ว่า เอนไซม์มีในอาหารทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ แต่เอนไซม์
ที่ได้จากอาหารจะเสื่อมคุณภาพจนถึงใช้การไม่ได้ถาวรทันทีเมื่อเจออุณหภูมิสูงกว่า 47 องศาเซลเซียส ทีนี้เมื่อมาทบทวนดูว่าเราได้รับประทานอาหารอะไรบ้างที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสบ้าง ก็จะพบว่าเป็นเรื่องยากมาก

เนื้อสัตว์เราแทบจะไม่สามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้เลย เพราะอาจจะเจอพยาธิหรือโรคอื่นๆที่ติดมากับเนื้อสัตว์นั้นๆ ในขณะที่การรับประทานผักส่วนใหญ่ของมนุษย์ก็มักจะผ่านความร้อนทั้งการต้ม การผัด การทอด ฯลฯ ดังนั้นแม้เราจะได้สารอาหารจากอาหารเหล่านี้แต่เราจะไม่ได้ “เอนไซม์จากผัก”ในลักษณะแบบนี้ได้อีกเช่นกัน คงเหลือแต่ผักและผลไม้แบบดิบๆ (เช่น ผักสลัด)หรือผ่านความร้อนที่อุณหภูมิต่ำๆ ที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยที่ยังคงเพิ่มเอนไซม์ในร่างกายได้เท่านั้น

คำถามมีอยู่ว่า เมื่อเราได้ทบทวนการกินอาหารแล้วในยุคปัจจุบัน มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับเอนไซม์ที่มาจาก “อาหารที่เป็นผักดิบและผลไม้สด” น้อยกว่า “อาหารที่เอนไซม์ตายแล้ว”ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) และ เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) อยู่ตลอดเวลา มนุษย์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในภาวะ “มีเอนไซม์ขาเข้าร่างกายน้อยลงทุกวัน แต่มีขาออกจากร่างกายเพิ่มมากทุกวัน” !!!

มนุษย์ส่วนใหญ่แทบทุกคนเมื่ออายุมากขึ้นระบบการย่อยและการขับถ่ายจึงเสื่อมลงแทบทุกคน ภูมิคุ้มกันลดลง การซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอจึงลดลงตามลงไปด้วย ทั้งหมดเพราะกินไม่ดีจึงสูญเสียเอนไซม์ลงไปทุกวัน

ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีเอนไซม์จากอาหารมากเพียงพอ เราจะสิ้นเปลืองเอนไซม์จากการย่อยอาหารน้อยลงไป (Digestive Enzyme) ส่งผลทำให้เราสิ้นเปลืองเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme)น้อยตามลงไปด้วย

“นายลี ชิง ยุน” ชาวจีนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกคือ 256 ปี และรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเดียวและอาหารสดจำนวนมากทั้งจากผักและผลไม้สด ซึ่งหมายถึงเขามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) คอยเพิ่มเข้ามาในร่างกายอยู่ตลอดเวลา

คำถามย่อมมีอยู่ว่าหลายคนที่อายุมากและสูญเสียเอนไซม์จากการย่อย และเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหารไปแล้ว แต่อยากจะเริ่มรับประทานอาหารผักและผลไม้แบบสดๆ จะรับประทานได้มากพอจริงหรือไม่เพื่อให้มีเอนไซม์ที่หลากหลายให้ใกล้เคียงกับเอนไซม์ทุกชนิดตามที่ร่างกายสูญเสียไปได้หรือไม่นั้น คำตอบคือ “ไม่ใช่เรื่องง่าย”

ยกตัวอย่างเช่น เอนไซม์ที่มีชื่อว่า “ปาเปน”(Papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตได้จาก “มะละกอ”ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายโปรตีนให้เล็กจนเท่ากรดอะมิโน (Amino Acid) หรือเอนไซม์ “บรอมมิเลน”(Bromelain) เป็นเอนไซม์อีกประเภทที่ช่วยย่อยโปรตีน ได้มาจาก “แกนของสับปะรด” ก็ล้วนเป็นเอนไซม์จากอาหารที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนทั้งสิ้น และอาหารทั้งคู่ก็จัดอยู่ในหมวด “อาหารฤทธิ์ด่าง”

ถ้าเรามีเอนไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีนมากพอก็จะสามารถป้องกันได้หลายโรค เพราะถ้าเอนไซม์ย่อยโปรตีนมีไม่มากพอหรือลดน้อยเสื่อมลงไป โปรตีนที่ย่อยไม่สมบูรณ์ก็จะรั่วซึมเข้ามาในระบบเลือด และกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายคิดว่าเป็นศัตรู จึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเฉพาะทำลายจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆขึ้น เช่น การแพ้อาหาร โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง ฯลฯ

แต่เราทำร้ายตัวเองยิ่งไปกว่านั้นโดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นประจำ เพราะยาปฏิชีวนะมีคุณสมบัติเป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หรือไม่สามารถแบ่งตัวเพิ่มออกไปได้เพราะไม่สามารถสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ก็จะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายตายไปด้วย ส่งผลทำให้เอนไซม์ที่จะได้จากแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไปอีก จึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จำนวนมามักจะมีประวัติรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องมาก่อน

ความจริงแล้วเราสามารถกินอาหารที่เลือกเอนไซม์ได้เป็นอย่างๆเท่านั้น ไม่สามารถกินอาหารได้เอนไซม์ครบทุกอย่างตามที่เราขาดไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาในสิ่งที่ขาดหรือสิ่งที่เราต้องการย่อยอาหารได้

แม้กระทั่งหลักสูตรล้างพิษตับ ซึ่งมีการดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากก็เพื่อเร่งให้ตับและถุงน้ำดีเร่งขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมากและนำสิ่งตกค้างออกมาจากตับและถุงน้ำดีด้วย เพราะน้ำดีเป็นด่างไบคาร์บอเนต (pH 7.5-8.8) และเอนไซม์ไลเปสซึ่งผลิตมาจากตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่ย่อยน้ำมันมะกอกจะทำงานในการย่อยได้ในสภาวะความเป็นด่าง ดังนั้นแม้จะเป็นข่าวดีที่เราได้ขับของเสียออกจากตับและถุงน้ำดีเพราะการขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเราได้สูญเสียเอนไซม์ไลเปสเพื่อมาย่อยน้ำมันมะกอกด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลักสูตรล้างพิษตับจึงจำเป็นต้องอดอาหารล่วงหน้าพอสมควรเพื่องดการใช้เอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน และหลังหลักสูตรล้างพิษก็ควรจะเลือกรับประทานอาหารที่เพิ่มปริมาณเอนไซม์ไลเปส ซึ่งเอนไซม์ไลเปสสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อพืช ผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโอ๊ต รำข้าว ถั่วเหลือง ฯลฯ

แต่ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ในด้านการหมัก เราจึงมีโอกาสที่จะนำพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช มารวมกันและหมักเพื่อให้เร่งและเพิ่มปริมาณเอนไซม์ที่หลากหลายที่สุดสำหรับการบริโภค เพราะองค์ความรู้ที่ว่าการหมักนั้นสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ทำให้ย่อยและดูดซึมง่าย และเพิ่มปริมาณเอนไซม์ และหากหมักด้วยกรรมวิธีและการควบคุมที่ดีเราก็จะได้แบคทีเรียและเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวได้ด้วย

การหมักที่ดีควรจะรู้ว่า “หัวเชื้อ”ที่เป็นจุลินทรีย์เรานำมาใช้นั้นคืออะไร และมีวัตถุประสงค์อะไร และระบบการหมักสามารถควบคุมไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่พึงประสงค์แปลกปลอมเข้ามาในการหมักได้มากแค่ไหน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้แต่จุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ดีและได้มาตรฐานจากการหมัก แต่อย่างน้อยเราน่าจะมีข่าวดีอยู่ที่ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ปราชญ์คนหนึ่งแห่งศีรษะอโศก ได้แจ้งว่าเมื่อส่องกล้องในระหว่างการหมักในภาวะความเป็นกรดจะพบว่าแบคทีเรียจะเหลือแต่เพียงตระกูลบาซิลลัสเท่านั้น ส่วนเชื้อแบคทีเรียอื่นๆได้ตายหมดไปแล้ว ดังนั้นในขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาลให้อาหารกับแบคทีเรียที่ดีขยายตัวเติบโตต่อไปในน้ำหมักต่อไป

ส่วนที่บางคนกังวลเรื่องน้ำตาลในน้ำหมักจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าในโอกาสนี้ว่าผู้เชี่ยวชาญและส่งออกน้ำเอนไซม์รายใหญ่ที่สุดของโลกจากไต้หวันได้ให้ความรู้กับเราว่าน้ำตาลในน้ำหมักที่กินเข้าไปอาจทำน้ำตาลในเลือดช่วงแรกเพิ่มขึ้นแต่เมื่อและจุลินทรีย์และเอนไซม์มีมากพอจากน้ำหมักมีมากแล้ว เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ก็จะทำงานดีขึ้นทำให้การเผาผลาญน้ำตาลในเลือดดีขึ้นและทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงในเวลาต่อมา

ส่วนที่บางคนมีความกังวลว่า น้ำหมักเมื่อวัดค่า pH แล้วจะเป็นกรดอย่างแรงจะทำให้เสีย
สมดุลกรด-ด่างหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอนไซม์จากไต้หวันให้ความรู้เราเพิ่มเติมว่า กรดที่เกิดในน้ำหมักที่ได้จากพืช ผัก ผลไม้ที่ออกฤทธิ์เป็นด่างเมื่อย่อยสลายในร่างกายแล้วก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ฤทธิ์ด่างในท้ายที่สุดเช่นกัน

สุดท้ายอาจจะมีข้อสงสัยว่าเอนไซม์จากน้ำหมักจะมีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ เพราะอาจถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลายหมดหรือไม่ ในเรื่องนี้ได้ปรากฏมีบทความของนักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านโภชนาการและเอนไซม์คนหนึ่งชื่อ ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส (Dr.Viktoras Kulvinskas) ได้เขียนเอาไว้ว่า

“ประมาณการว่าร้อยละ 80 ของโรคมีต้นเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย และก่อให้เกิดการเน่าเสียและสารพิษเหล่านี้ซึมเข้าไปในร่างกาย”

ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส มีงานวิจัยด้านโภชนาการเอนไซม์ที่แสดงว่า กรดในกระเพาะอาหารที่ดูเหมือนว่าจะหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ได้จากอาหาร แต่เมื่อเอนไซม์เดินทางมาถึงลำไส้เล็กแล้วก็จะกลับตื่นฟื้นขึ้นมาทำงานได้อีกครั้งตามปกติในสภาพวะความเป็นด่าง

ถึงเวลาที่ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใกล้บนเส้นศูนย์สูตร มีพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่หลากหลายที่สุดในโลก ควรก้าวไปข้างหน้ากับการวิจัย เผยแพร่ และ ขยายผลทางวิชาการนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศในด้านเอนไซม์ในระดับโลกได้แล้ว !!!

ข้องมูลดีๆจาก : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

https://amp.mgronline.com/home/9560000032216.html
https://mgronline.com/daily/detail/9560000029053

ปูนขาวไลม์ ไฮเดรตไลม์ ฉาบบ้านดิน

ปูนขาว ไลม์ (lime) มีชื่อเรียกทางเคมีว่า แคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide) และมีสูตรทางเคมีคือ CaO ลักษณะโดยทั่วไปเป็นผงสีขาว มีฤทธิ์เป็นด่าง กัดกร่อนได้ โดยปกติแล้วจะผลิตแคลเซียมออกไซด์, CaO จากการเผาวัสดุใดๆ ที่มีส่วนผสมของหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต, CaCO3) เป็นองค์ประกอบ ณ อุณหภูมิมากกว่า 825 องศาเซลเซียส เรียกกระบวนการเผานี้ว่า calcination และจะมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ออกมา ปูนขาวนี้ สามารถทำปฏิกิริยากับ CO2 ที่อยู่ในอากาศ โดยอาศัยระยะเวลาที่นานพอ กลับกลายเป็น CaCO3 ได้ ดังนั้นการเก็บรักษาต้องระวังไม่ให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในภาชนะที่ใช้จัดเก็บได้


สมการแสดงปฏิกิริยา calcination หินปูน

CaCO3 (s) ð CaO (s) + CO2 (g)

โดยทั่วไปราคาของปูนขาวเมื่อเทียบกับสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือว่ามีราคาไม่แพงมากนัก แต่สามารถใช้เป็นสารตั้งต้นเพื่อผลิตสารเคมีชนิดอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น การผลิต แคลเซียมไฮดรอกไซด์, Ca(OH)2 จากการนำปูนขาวทำปฏิกิริยากับน้ำ

CaO (s) + H2O (l) Ca(OH)2 (aq) (ΔHr = −63.7 kJ/mol of CaO)

นอกจากจะได้ Ca(OH)2 เป็นผลิตภัณฑ์แล้ว ปฏิกิริยานี้ยังให้ความร้อนออกมาค่อนข้างมากถึง -63.7 kJ/mol ทำให้สามารถประยุกต์ใช้เป็นแหล่งกำเนิดความร้อนแบบพกพาได้อีกด้วย ในทางกลับกันเมื่อเผา Ca(OH)2 ที่อุณหภูมิ 512 องศาเซลเซียส ก็จะได้ CaO กลับคืนมาดังสมการ

Ca(OH)2 → CaO + H2O

ปูนขาวมีประวัติศาสตร์การใช้สอยมาอย่างยาวนาน มีบันทึกการใช้ปูนขาวในการฉาบภายนอกอาคารในประเทศตุรกีตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 6,000 ปีก่อน ชาวโรมันเองก็ใช้ปูนขาวในการก่อและฉาบอาคาร ในพื้นที่หนาวและชื้นดังเช่นพื้นที่แถบประเทศสกอตแลนด์และเวลส์ก็มีการฉาบปูนขาวบนอาคารที่สร้างจากหินเพื่อป้องกันดินก่อจากสภาพอากาศและฝนที่รุนแรง โดยใช้วิธีการแบบโบราณคือการปาดินฉาบเข้าใส่ผนังเพื่อป้องกันการแตกร้าว ซึ่งจะทำให้น้ำไปทำลายรอยต่อของผนังหิน

ถึงแม้ว่าจะมีการใช้ปูนขาวมาอย่างยาวนานทั่วโลก แต่สำหรับพื้นที่แถบอเมริกาเหนือในปัจจุบัน การฉาบอาคารด้วยปูนขาวเริ่มสูญหายไปจากการรับรู้ของคน เรื่องมาจาการใช้คอนกรีตฉาบกันอย่างกว้างขวาง แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ปูนขาวก็เริ่มที่จะได้รับความนิยมจากผู้สร้างบ้านธรรมชาติที่ต้องการวัสดุที่แข็งแรงทนทานแสะกันน้ำได้

ในบทนี้เราจะเข้าไปสำรวจโลกของปูนขาว, การใช้งาน, วิธีการทำ, วิธีการนำไปใช้ และข้อดีข้อเสียของมัน เพื่อประกอบการตัดสินใจในการที่จะเลือกใช้วัสดุที่มหัศจรรย์แต่ค่อนข้างจะใช้ยากนี้ แม้ว่าเราจะพยายามครอบคลุมทุกประเด็น แต่เราก็ขอแนะนำให้คุณอ่านและศึกษาเพิ่มเติม และแนะนำให้คุณเข้าร่วมการอบรม พยายามศึกษาเท่าที่คุณจะทำได้ ทดลอง และเลือกระบบของปูนขาวที่เหมาะสมกับโครงการของคุณมากที่สุด

ทำความเข้าใจปูนขาว

ปูนขาวที่ใช้ในการฉาบประกอบด้วยส่วนผสมของปูนขาวกับทราย แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นวัสดุธรรมชาติ แต่ความจริงแล้วเราไม่สามารถพบมันได้ในธรรมชาติ ปูนขาวนั้นผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่มากมายในธรรมชาติ นั่นคือปูนขาว โดยผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานพอสมควร


อย่างที่คุณอาจจะรู้แล้ว หินปูนนั้นเป็นหินตะกอนที่ถูกทับถมและผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายผ่านระยะเวลาอันยาวนาน หินปูนส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพืชและสัตว์น้ำ เพื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ตายและทับถมอยู่บนพื้นมหาสมุทร เมื่อผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ซากเหล่านั้นก็ย่อยสลายจนเกิดเป็นชั้นดินเลนหนาซึ่งเต็มไปด้วยธาตุแคลเซียม หรือที่เราเรียกว่า แคลเซียมคาร์บอเนต


ในขณะที่แคลเซียมคาร์บอเนตกำลังสะสมอยู่ที่ใต้พื้นมหาสมุทร แมกนีเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลก็ถูกดึงเข้ามาผสม ปริมาณของแมกนีเซียมคาร์บอเนตที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิดหินปูนที่ต่างกัน ๓ ประเภท ซึ่งจำแนกประเภทตามปริมาณของแมกนีเซียมคาร์บอเนต


เมื่อผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ชั้นดินเลนของแคลเซียมซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตในอัตราส่วนที่ต่างกันก็รวมตัวกันเป็นหินปูน ชั้นหินปูนเหล่านี้ได้ถูกกลบทับด้วยตะกอนอื่น ๆ ผ่านระยะเวลาอันยาวนานทางธรณีวิทยา พื้นมหาสมุทรบางส่วนได้กลับมาอยู่บนพื้นแผ่นดิน และพื้นที่เหล่านี้แหละที่กลายมาเป็นเหมืองหินปูนที่นำมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งการใช้ในการก่อสร้าง


หินปูนได้ถูกนำมาใช้อย่างหลากหลายทั่วโลก ในหลาย ๆ วัฒนธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้หินปูนอย่างแพร่หลายทั่วโลกตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ หินปูนจะถูกสกัดออกจากเหมืองแบบเปิด ผ่านการบดอัน และผ่านความร้อนในเตาซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 2000 องศาฟาเรนไฮต์ นี่คือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมปูนขาวถึงได้ทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าดินฉาบ เมื่อหินปูนถูกเผา ความร้อนจะขับเอาคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำออก และเปลี่ยนแคลเซียมคาร์บอเนต และแมกนีเซียมคาร์บอเนตให้กลายเป็นแคลเซียมออกไซด์ และแมกนีเซียมออกไซด์ ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อปูนขาว


ในการทำปูนขาวสำหรับฉาบ เราต้องนำปูนขาวที่ซื้อมาจากร้านในรูปของผงแป้งมาแช่น้ำเสียก่อน ในกระบวนการนี้ แคลเซียมออกไซด์ และแมกนีเซียมออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับน้ำจนเกิดเป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ และแมกนีเซียมไฮตรอกไซด์ ความร้อนจำนวนมากจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากปฏิกิริยาทางเคมี ผลของมันจะทำให้เกิดส่วนผสมที่นุ่มเหนียวมีลักษณะคล้ายปูนโป้ว ซึ่งเป็นส่วนผสม


หลักของปูนขาวที่เราจะนำมาฉาบ

ปูนขาวที่ผสมน้ำนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีจนเสร็จสิ้น ก่อนที่จะนำมาผสมทรายเพื่อทำปูนฉาบ แม้ว่าโดยกระบวนการจะใช้เวลาแค่ ๒ - ๓ เดือนก่อนที่จะนำมาใช้ แต่การทิ้งไว้เกิน ๒ ปีน่าจะดีกว่า ในยุคสมัยที่ผู้คนไม่ได้มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบอย่างทุกวันนี้ การแช่น้ำทิ้งไว้ ๕ ปีดูจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม ในวัฒนธรรมที่ยังคงใช้ปูนขาวในการฉาบอาคารยังเชื่อว่ายิ่งแช่น้ำไว้นานเท่าไหร่เราก็จะได้ปูนโป้วที่ดีขึ้นเท่านั้น เพราะจะช่วยให้ปูนขาวทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ปูนโป้วนั้นละเอียดและง่ายต่อการฉาบ ที่สำคัญคือช่วยลดความเสียหายหลังจากการฉาบ เพราะวัสดุที่ไม่ได้ทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างสมบูรณ์ มันอาจไปทำปฏิกิริยากับน้ำขณะอยู่บนผนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดการกระเทาะเป็นรูเล็ก ๆ บนพื้นผิวผนัง

หลังจากที่ปูนขาวได้ทำปฏิกิริยากับน้ำเรียบร้อยแล้ว เนาจึงนำมาผสมกับทรายเพื่อทำเป็นปูนขาวฉาบลงบนผนัง เมื่อถึงจุดนี้ แคลเซียมไฮดรอกไซด์จะเริ่มทำปฏิกิริยาทางเคมีอีกครั้งกับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะทำให้มันค่อย ๆ กลับคืนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต กลายเป็นหินปูน ซึ่งสามารถคงทนอยู่ได้เป็นร้อยหรือพันปี

ปูนขาวฉาบนี้สามารถที่จะใช้ได้ในอาคารธรรมชาติทุกประเภท ทั้งอาคารแบบก้อนฟาง ดินปั้น อิฐดินดิบ โดยอาจจะฉาบลงบนผนังโดยตรง หรือฉาบทับดินฉาบอีกครั้งหนึ่ง แต่ทำไมเราถึงเลือกใช้ปูนขาวฉาบล่ะ

ทำไมถึงเลือกใช้ปูนขาวฉาบ

มีการใช้ปูนขาวฉาบทั้งภายในและภายนอกอาคาร แต่มันจะสมประโยชน์กับภายนอกอาคารที่ต้องการการป้องกันจากสภาพอากาศเป็นพิเศษมากกว่า โดยเฉพาะความสามารถในการกันฝน อาคารแบบดินปั้นหลายหลังแถบทางใต้ของประเทศอังกฏษก็ได้รับการป้องกันจากปูนขาวฉาบนี้ ปูนขาวฉาบนี้สามารถผสมผงสีได้

ผนังปูนขาวฉาบนี้น้ำสามารถซึมผ่านได้ หรือ "หายใจได้" เพื่อช่วยให้ความชื้นจากผนังสามารถที่จะผ่านผนังออกไปได้ และปูนขาวฉาบนี้ไม่มีลักษณะอมน้ำเหมือนกันปูน(ซีเมนต์)ฉาบทั่วไป หรืออาจจะพูดอีกอย่างว่า ปูนขาวฉาบนี้จะไม่ดูดเอาความชื้นจากภายนอกเข้าไปที่ผนังดิน

ข้อดีอีกอย่างของมันคือความคงทน ปูนขาวฉาบมีความแข็งแรงมากและสามารถคงทนอยู่ได้เป็นร้อยปี นอกเหนือจากนั้นมันยังมีความอ่อนตัว ทำให้มันไม่แตกร้าวมากเมื่อดินขยายหรือหดตัวเมื่ออุณหภูมิหรือความชื้นเปลี่ยนแปลง (ในปูนฉาบทั่วไปก็มีการผสมปูนขาวเข้าไปเพื่อทำให้มันยืดหยุ่นขึ้น และลดการแตกร้าว) นอกเหนือจากนั้น ปูนขาวฉาบและดินมีอัตราการขยายและหดตัวที่ใกล้เคียงกัน ทำให้โอกาสที่จะแตกหรือหลุดร่อนเนื่องจากการขยายหรือหดตัวของวัสดุมีน้อยลง

ปูนขาวฉาบหดตัวเพียงเล็กน้อยเมื่อแห้ง จึงลดความเป็นไปได้ที่จะแตกร้าว และเพราะว่าปูนขาวไม่ดูดซึมน้ำเหมือนกับปูนซีเมนต์ ทำให้ปูนขาวฉาบนี้ไม่ได้ไปทำลายผนังดินด้านใน คุณคงนึกภาพออกว่าเมื่อคุณฉาบผนังด้วยปูนซีเมนต์ซึ่งดูดความชื้นสู่ผนัง มันก็จะทำให้ผนังดินด้านในผุพัง และมีโอกาสที่จะแยกตัวออกจากผนัง

ปัจจัยที่ว่านี้ส่งผลให้ปูนขาวฉาบนี้มีโอกาสแตกร้าวน้อยกว่าปูนซีเมนต์ และรอยร้าวในปูนขาวฉาบที่เกิดจากอาคารปิดตัวหรือจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของผนังนั้นมีขนาดเล็กกว่ารอยแตกร้าวในปูนซีเมนต์

ปูนขาวฉาบยังมีความสามารถที่จะเยียวยาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะรอยแตกร้าวขนาดเท่าเส้นผม เนื่องจากแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในปูนขาวฉาบนี้จะทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในธรรมชาติซึ่งจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่จะซ่อมแซมรอยร้าวเล็ก ๆ นี้ ถ้ารอยร้าวมีขนาดใหญ่กว่านั้น เราก็สามารถซ่อมแซมได้โดยการละลายปูนขาวฉาบให้มีลักษณะเป็นน้ำ หรือให้ข้นเหมือนน้ำนมแล้วฉาบ

ปูนขาวฉาบนั้นฉาบได้ง่าย สามารถยึดเกาะกับผนังดินได้ดีโดยไม่ต้องใช้ลวดกรงไก่ ความหนืดและเหนียวของมันทำให้สามารถที่จะโปะลงบนผนังได้ง่าย ปูนขาวฉาบจะค่อย ๆ แห้งทำให้ผู้ฉาบมีเวลาที่จะฉาบแต่งได้โดยไม่ต้องรีบร้อง โดยปรกติจะใช้เวลาประมาณ ๕ - ๗ วันเพื่อให้ปูนขาวฉาบนี้แข็งแรงพอที่เอานิ้วโป้งกดแล้วไม่เป็นรอยจม แต่ยังไม่สามารถทนกับแรงกระแทกได้ ปูนขาวฉาบนี้ใช้เวลาแห้งเต็มที่ประมาณ ๑ ปี ซึ่งก็คือเปลี่ยนสภาพตัวมันเองทั้งหมดไปเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต

ข้อดีอีกข้อของปูนขาวฉาบคือความเป็นด่างของมันไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของเห็ดและรา ซึ่งอาจทำให้สีของผนังด่างและอาจมีผลต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย

ข้อดีข้อสุดท้ายของปูนขาวฉาบคือ มีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าคอนกรีต ทำให้หน้าหนาวอุณหภูมิภายในบ้านอุ่นกว่าภายนอก (สำหรับแถบประเทศหนาว และทำให้ภายในบ้านมีอากาศเย็นในหน้าร้อนในกรณีประเทศแถบร้อน-ผู้แปล)

ข้อเสียของปูนขาวฉาบ


แม้ว่าจะมีเหตุผลหลายประการที่คุณควรจะเลือกใช้ปูนขาวฉาบ แต่ตัวมันเองก็มีข้อเสียด้วย เช่น ปูนขาวนั้นเป็นวัสดุที่สามารถกัดผิวได้เมื่อผสมผงปูนขาวเข้ากับน้ำ ระหว่างการทำปฏิกิริยาทางเคมีและเกิดความร้อน สารละลานน้ำอาจกระเด็นขึ้นมาโดนมือ, แขน, หน้า หรือโดนตา ซึ่งอาจทำให้ไหม้ได้ถ้าไม่ได้ใส่เครื่องป้องกัน เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดีเวลาผสม

แม้ว่าปูนขาวจะใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการผลิตปูนซีเมนต์ แต่ก็ยังถือว่าใช้พลังงานมากกว่าการใช้ดินฉาบอยู่พอสมควร ถ้าคุณคำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม,,,ก็ควรใช้ดินฉาบทั้งภายในและภายนอก หรืออาจใช้ดินฉาบแล้วทำผิวขั้นสุดท้ายด้วยปูนขาว

ปูนขาวเป็นวัสดุที่ต้องพิถีพิถัน เพราะการที่หลังจากฉาบไปแล้วแคลเซี่ยมไฮดรอกไซด์จะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตหลังจากที่ทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยานี้จะเกิดได้ดีในอุณหภูมิอุ่น และมีความชื้นพอประมาณ ปฏิกิริยานี้อาจช้าลงถ้าเปียก หรือแห้ง หรือร้อนเกินไป

ปูนขาวฉาบต้องการการประคบประหงม หลังจากที่ฉาบไปแล้ว เราจะต้องคอยทำให้ชื้นประมาณวันละครั้งตลอด ๗ - ๑๔ วัน สำหรับภูมิอากาศแบบเย็นและชื้น เพื่อมั่นใจว่ามันจะคงสภาพที่ดี สำหรับสภาพภูมิอากาศแบบร้อน แห้ง หรือมีลมแรง อาจต้องมีการพรมน้ำวันละ ๒ - ๓ ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผนังแห้งเร็วจนเกินไป (ถ้าแห้งเร็วเกินไปจะทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีช้าลง) อาจจำเป็นต้องแขวนผ้าใบหรือผ้ากระสอบรอบผนังเพื่อรักษาความชื้น

ในภูมิประเทศที่มีฝนตกชุก อาจต้องป้องกันผนังจากฝนโดยการแขวนผ้าใบไว้จนกว่าฝนจะหยุด ผ้าใบที่แขวนควรห่างจากผนังเล็กน้อยเพื่อให้ความชื้นจากผนังสามารถที่จะระเหยออกมาได้ ถ้าแขวนติดกับผนังอาจทำให้ราขึ้น

ถ้าต้องการเร่งให้ผนังแห้งเร็วขึ้นอาจทำได้โดยการเพิ่มสารเร่งซึ่งมีหลากหลายชนิด ในอดีตมีการใช้อิฐ..... กระเบื้อง(ปูพื้น-ผู้แปล)ดินเผา และหม้อดินเผา ซึ่งจะต้องทำการโม่หรือบดให้ละเอียดเพื่อผสมลงไป อิฐ.....อาจหาได้ตามร้านขายเครื่องปั้นดินเผาทั่วไป บางครั้งมีการผสมผงฝุ่น(fly ash) ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีคุณสมบัติดีมาก แต่ค่อนข้างอันตรายเนื่องจากมันมีส่วนผสมของโลหะหนักที่เป็นสารพิษ fly ash อาจมีผลกับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่แนะนำให้ใช้

ส่วนผสมอื่นคือ Hydraulic Lime ซึ่งผสมดินเหนียวเพื่อให้setตัวเร็วขึ้น หรืออาจผสมซีเมนต์เพื่อเร่งเวลาแห้งให้เร็วขึ้น นักสร้างบ้านชาวแคนาดา Michel Bergeron บอกว่า ถ้าผสมซีเมนต์ต่ำกว่า 20 เปอร์เซนต์โดยปริมาตรจะทำให้แห้งเสร็จก่อน 24 ชั่วโมง โดยมีความยืนหยุ่นและความแข็งแรงเหมือนเดิม แต่จากประสบการของผู้ใช้ปูนขาวฉาบในยุโรป จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มซีเมนต์นี้ เพราะรู้สึกว่ามันจะทำให้ปูนขาวฉาบนี้มีความแข็งแรงลดลง ซึ่งเราเห็นด้วย

สารที่ผสมเพื่อเร่งการแข็งตัวจะทำปฏิกิริยากับปูนขาวเพื่อสร้างโครงสร้างคริสตัลคล้ายกับแคลเซียมคาร์บอเนต แต่ถึงแม้ว่ามันจะก่อรูปและแข็งตัวได้เร็วกว่า แต่ก็จะทำให้มันลดความสามารถในการระบายความชื้น และความแข็งแรง ซึ่งสำหรับบ้านดินหรือบ้านฟางแล้ว นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่อาจจะเป็นอันตรายได้

ปูนขาวก็คล้ายกับการฉาบด้วยดินคือต้องการการดูแลรักษา แม้ว่าปูนขาวฉาบจะไม่ร้าวมากและสามารถรักษาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง มันก็ยังต้องฉาบหรือใช้ปูนขาวผสมน้ำทาทุก ๆ 2 - 10 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสภาพอากาศ อาจต้องมีการอุดรอยบ้าง การซ่อมแซมนั้นอาจต้องใช้เวลา แต่ก็ยังถือว่าใช้เวลาน้อยกว่าการขูดสีเดิมออกจากบ้านไม้แล้วทาสีใหม่ อย่างไรก็ตามไม่ว่าบ้านคุณจะสร้างด้วยวัสดุอะไรก็จำเป็นจะต้องมีการดูแลรักษาทั้งนั้น

วิธีการทำ Lime Putty (ปูนขาวข้น)

ปูนขาวฉาบคือการผสมทรายเข้ากับปูนขาวข้น ถ้าคุณโชคดีอยู่ในประเทศที่ยังมีการใช้ปูนขาวฉาบอยู่ เช่นในสหราชอาณาจักร คุณอาจหาซื้อปูนขาวข้นสำเร็จรูปได้ตามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแล้วนำมาผสมทรายได้เลยแต่ถ้าหาซื้อไม่ได้ คุณก็สามารถทำตัวเองได้

วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผง (Quicklime)

Quicklime มีลักษณะเป็นผงแป้งซึ่งประกอบไปด้วยแคลเซียมออกไซด์และแมกนีเซียมออไซด์ในหลาย ๆ สัดส่วน(ขึ้นอยู่กับแหล่งของหินปูน) แม้ว่าจะหาซื้อได้ยากในอเมริกาเหนือ แต่ช่างฉาบเชื่อว่าปูนขาวที่แช่น้ำไว้ดีจะเป็นัวฉาบที่ดีที่สุด

การแช่ปูนขาวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย แต่ผู้เขียนหนังสือ "คู่มือของสมาคมผู้ใช้ปูนขาวแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา" ได้ชี้ให้เห็นว่า "ดูเหมือนจะง่าย แต่มันก็ต้องการทักษะและประสบการ" ซึ่งอาจต้องการการฝึกฝนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่มีประสบการณ์อาจทำปูนขาวให้เสียหายจากความเผลอเรอหรือไม่ใส่ใจได้ ผงปูนขาวอาจเป็นอันตราย เราไม่ควรจะสูดเอาผงฝุ่น, ไม่ให้สัมผัสกับตาและผิวหนัง การนำเอาผงปูนขาวไปแช่น้ำ แม้จไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำอันตรายกับเราได้เหมือนกัน

การทำปูนขาวข้นนี้สามารถใช้กับปูนขาวทุกประเภท ทั้งประเภทที่มีแคลเซียมสูง และที่มีแมกนีเซียมสูง แต่ไม่ว่าปูนที่เรามีอยู่จะมีส่วนผสมอย่างไร เราควรจะหาความรู้ก่อนที่จะเริ่มทำด้วยการอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับปูนขาวหรือหาที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญการทำปูนขาว หรือให้ดีที่สุด คุณอาจลองหาโอกาสลองทำกับผู้ที่มีระสบการณ์ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการทำปูนขาวฉาบมาก่อน ก่อนที่คุณจะลองผสมปูนขาวฉาบของตัวเอง

ก่อนที่จะเริ่ม ตัดสินใจก่อนว่าคุณจะใช้ปูนขาวที่มีสัดส่วนของแคลเซียมออกไซด์และแมกนีเซียมออกไซด์ก่อน ซึ่งคุณจะได้เห็นว่ามันมีผลต่อวิธีการผสมมาก และอย่าลืมที่จะใส่ชุดให้รัดกุมเพื่อป้องกันร่างกายจากการโดนปูนกัด

วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแคลเซียมสูง

ก่อนอื่นให้ใส่น้ำสะอาดลงในถังที่สะอาด ถังที่ใช้ควรจะเป็นถังโลหะหรือถังพลาสติกที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะพลาสติกส่วนใหญ่อาจไม่ทนความร้อนที่สูง และเริ่มจากการใส่น้ำอย่างน้อย 3 ส่วนต่อปูนผง 1 ส่วน เมื่อคุณยังหัดทำอยู่ควรเริ่มทำจากจำนวนน้อย ๆ

หลังจากที่ใส่น้ำลงในถังให้ค่อย ๆ ใส่ปูนขาวผงไป ซึ่งมันจะจมดิ่งลงไปที่ก้นถัง ค่อย ๆ ใส่ปูนขาวผงลงไปจนกระทั่วส่วนผสมเริ่มเกิดฟองที่อุณหภูมิประมาณ 100 - 120 องศา ค่อย ๆ กวนส่วนผสมช้า ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ปูนขาวผงได้ทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างทั่วถึง ถ้าจำเป็นอาจเพิ่มน้ำเพื่อลดอุณหภูมิของน้ำลง แต่จงจำไว้ว่าถ้าเติมน้ำมากเกินไปจะทำต้องรอเวลาที่ส่วนผสมจะได้ระดับความเหนียวที่เหมาะสมนานขึ้น

ระวังว่าปูนขาวนั้นทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างรวดเร็วและจะทำให้เกิดความร้อนสูง การใส่ปูนขาวทีละน้อยจะช่วยให้เราสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัย

เมื่อส่วนผสมหยุดเดือด ให้ค่อย ๆ คนด้วยไม้พายที่สะอาดเพื่อให้มั่นใจว่าทุก ๆ อนุภาคของปูนขาวได้สัมผัสกับน้ำ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ได้ทำปฏิกิริยา หลังจากนั้นก็ปล่อยส่วนผสมทั้งหมดไว้ให้ทำปฏิกิริยาจนสมบูรณ์ จำไว้ว่าแม้ว่าคุณกำลังทำงานอยู่กับปูนขาวที่มีส่วนผสมของแคลเซียมที่สูง มันก็ยังมีส่วนผสมของแมกนีเซียม ซึ่งยิ่งส่วนผสมของแมกนีเซียมสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้เวลาในการทำปฏิกิริยานานขึ้นเท่านั้น และเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดคุณควรกวนส่วนผสมวันละครั้งในช่วง 3 - 4 วันแรก และมั่นใจว่าได้เก็บส่วนผสมไว้ในพาชนะที่ปิดโดยมีระดับน้ำสูงกว่าปูนขาวประมาณ 2 นิ้วเพื่อป้องกันไม่ให้ปูนขาวสัมผัสกับอากาศ คอยตรวจสอบระดับน้ำอยู่เสมอเพราะเมื่อไหร่ที่ปูนขาวสัมผัสกับอากาศ มันก็จะเริ่มทำปฏิกิริยากับคาร์บอนในอากาศ ซึ่งจะทำให้ปูนขาวขันนั้นติดกับผนังได้ยากขึ้น

วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแมกนีเซียมสูง

การทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแมกนีเซียมสูงนั้นค่อนข้างง่าย แทนที่เราจะเทปูนลงไปในน้ำ คราวนี้เราต้องเทน้ำลงไปบนปูนขาวผง และปริมาณน้ำที่ใช้จะน้อยกว่าที่ใช้ในการผสมปูนขาวผงที่มีแคลเซียมสูงประมาณครึ่งหนึ่งถึงสองในสามส่วน กระจายผงปูนขาวให้ทั่วก้นถังให้หนาเท่า ๆ กัน ค่อย ๆ เติมน้ำจนกว่ากระบวนการจะเริ่ม เมื่อเริ่มเดือดและเกิดฟองอากาศให้ใส่น้ำที่เหลือลงไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเทน้ำทั้งหมดลงไปแล้ว ซึ่งก็คือตัวปูนขาวข้นนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำประมาณ 1 - 2 นิ้ว ค่อย ๆ คนให้อนุภาคของปูนขาวทั้งหมดได้สัมผัสกับน้ำ จุดนี้แหละที่ประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าผสมน้ำมากเกินไป ปูนขาวที่มีแมกนีเซียมสูงนี้จะไม่หนืดข้น คุณจะบอกได้ว่าคุณทำพลาดไปแล้วถ้าคุณเห็นส่วนผสมไม่ข้นและเหลวเป็นน้ำอยู่

ถ้าใส่น้ำน้อยเกินไปจะทำให้ปูนขาวข้น"ไหม้" ซึ่งหมายว่าว่าอนุภาคเล็ก ๆ ของปูนขาวบางส่วนนั้นไม่ได้ทำปฏิกิริยากับน้ำจนสมบูรณ์ เมื่อนำไปฉาบบนผนัง ก็อาจทำให้ผนังส่วนนั้นกระเทาะออกมาทำให้เกิดหลุมบนพื้นผิวผนัง

การกรองและเก็บปูนขาวข้น

หลังจากปูนขาวข้นเย็นแล้ว โดยปรกติประมาณ 1 - 2 วันสำหรับถังขนาดใหญ่ หลังจากที่เราได้กรองเอาปูนที่เป็นก้อนและสิ่งสกปรกอื่น ๆ ออกแล้ว ให้เก็บไว้ในถังที่มีระดับน้ำสูงเกินกว่าปูนขาวข้นประมาณ 1 - 2 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปูนขาวข้นสัมผัสกับอากาศ ต้องคอยตรวจสอบและเติมน้ำอย่างสม่ำเสมอ

ควรเตรียมถังให้ขนาดใหญ่กว่าปริมาณที่ผสม เพราะปูนขาวเมื่อแช่น้ำแล้วจะขยายตัวประมาณ 30 เปอร์เซนต์ของปริมาณปูนขาวผง

การผสมปูนขาวฉาบจากปูนขาวข้น

ปูนขาวฉาบได้จากการผสมปูนขาวข้นกับทราย อย่างที่คุณเห็นว่าปูนขาวข้นนั้นอาจทำได้จากหลายทาง เช่น จากร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ทำจากปูนขาวผง

การผสมปูนขาวฉาบควรทำล่วงหน้าก่อนเริ่มฉาบนานพอสมควร เพื่อให้ปูนขาวที่เราจะใช้นั้นได้ทำปฏิกิริยาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องอายุของมัน เพราะปูนขาวข้นนี้สามารถที่จะเก็บไว้ได้นานโดยไม่เสียหาย ตราบใดที่ยังมีน้ำสูงกว่าตัวปูนข้น 1 - 2 นิ้ว

การผสมปูนขาวฉาบ

ปูนขาวฉาบนั้นสามารถฉาบลงบนผนังดินได้โตยตรง เราอาจจะฉาบเพียง 1 - 2 ชั้นบนผนังที่ฉาบด้วยดิน หรืออาจฉาบ 3 ชั้นบนผนังที่ยังไม่ได้ฉาบดิน ซึ่งเราจะอธิบายระบบการฉาบ 3 ชั้นก่อน

ในการฉาบ 3 ชั้นนั้น สองชั้นแรกมักจะใช้ปูนขาวข้น 1 ส่วนกับทราย 2 - 3 ส่วน อาจใส่วัสดุเส้นใยเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรงดึงก็ได้ยกเว้นการฉาบชั้นสุดท้าย ปูนฉาบชั้นแรกอาจมีส่วนผสมของปูนขาวต่อทรายมากกว่า อาจเป็น 1.5 ส่วนต่อทราย 2 - 3 ส่วน

ทรายจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดการแตกร้าว ทรายที่ใช้ผสมในปูนขาวควรจะเป็นทรายที่มีลักษณะของอนุภาคแหลม ไม่ควรใช้ทรายที่มีลักษณะกลมมน และขนาดของเม็ดทรายควรมีความหลากหลาย ทรายที่ละเอียดมาก ๆ หรือทรายที่มีขนาดอนุภาคเท่ากันหมดจะทำให้ปูนขาวฉาบนั้นแข็งแรงน้อยลงและอาจทำให้แตกร้าว ทรายที่เล็กและกลมจะทำให้ผนังไม่แข็งแรง อาจแตกร้าวหรือหลุดร่อนได้ ทรายทะเลที่มีส่วนผสมของเกลือจะทำให้เกิดรอยเปื้อนขาวจากการที่เกลือพยายามที่จะดันตัวเองมาอยู่บนพื้นผิว ถ้าจะใช้ทรายทะเลควรล้างให้สะอาดก่อน

เมื่อผสมปูนขาวฉาบให้ผสมน้ำ ปูนขาวข้น และทรายเข้าด้วยกันด้วยมือ (โดยใช้ไม้พาย ไม่ควรใช้มือเปล่า) เมื่อผสมดีแล้วจึงค่อยใส่วัสดุเส้นใย(จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) อาจใช้ขนสัตว์หรือฟางแต่โดยปรกติแล้วจะใช้ในการฉาบภายในหรือฉาบชั้นแรกของผนังด้านนอกเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ไม่ควรใส่เส้นใยในการฉาบชั้นสุดท้ายเพราะขนหรือเส้นใยที่ฉาบในชั้นสุดท้ายนี้จะดูดซับความชื้นจากอากาศ ซึ่งอาจทำให้ปูนฉาบแตกร้าวในสภาพอากาศที่หนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง เราสามารถใช้วัสดุเส้นใย หรือขนสัตว์ได้หลากหลายชนิด ในยุโรปนิยมใช้ขนม้าในปูนขาวฉาบ (ยกเว้นขนแผงคอและหาง) ซึ่งผิวค่อนข้างหยาบ ขนวัว, แพะ และหมู ก็ถือว่าใช้ได้ ผมของคนก็สามารถใช้ได้ถ้าผมนั้นไม่เรียบลื่นจนเกินไป

ไม่ว่าจะใช้ขนสัตว์ชนิดใด เราควรจะต้องแยกออกจากกันไม่ให้ติดเป็นก้อน เพื่อไม่ให้มันกระจุกตัวอยู่ในปูนขาวฉาบ และผสมขนสัตว์ต่อปูนขาวฉาบในสัดส่วน 0.5 ต่อ 1

เนื่องจากปูนขาวฉาบต้องใช้ขนสัตว์มาก บางคนจึงนิยมใช้ฟางในการฉาบอาคารด้านใน และฉาบรองพื้นในผนังด้านนอก เพราะฟางนั้นหาได้ง่ายกว่าในคุณภาพที่น่าพอใจ โดยใช้สัดส่วนเดียวกับการผสมขนสัตว์ ฟางที่ใช้ควรตัดให้อยู่ในขนาด 1 - 3 นิ้ว การใช้ฟางอาจต้องผสมน้ำเพิ่มเพราะฟางจะดูดซีมน้ำทำให้ปูนขาวฉาบนั้นแห้ง การผสมใช้เวลาประมาณ 10 นาที แม้ว่าหลายคนจะกังวลว่าปูนขาวอาจจะกัดฟางจนหมด แต่ความจริงแล้วปูนขาวช่วยให้ฟางแข็งตัว เหมืนกับการแข็งตัวของไม้หรือฟอสซิลกระดูกโบราณ แคลเซียมจะแทรกซึมเข้าไปในช่องว่าภายในเส้นใยของฟางและกลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ช่วยทำให้กลายเป็นวัสดุที่คงทนแข็งแรง

เมื่อผสมเสร็จแล้ว ส่วนผสมที่ได้ควรจะเหนียวพอที่จะติดกับเกรียงแม้จะคว่ำหน้าลง ถ้าผสมน้ำมากเกินไปจะทำให้เกิดรอยร้าวจากการหดตัวซึ่งจะทำให้ไม่แข็งแรง


การฉาบปูนขาวลงบนผนัง


ก่อนจะฉาบลงบนผนังดิน คุณควรทำผนังให้เปียกก่อน โดยไม่ต้องใช้ตะแกรงลวดกรงไก่ เพราะลวดกรงไก่จะลดการยึดเกาะระหว่างปูนขาวฉาบกับผนัง และทำให้เกิดช่องอากาศภายในซึ่งอาจทำให้ปูนฉาบแยกออกในภายหลัง


เมื่อฉาบบนผนังดิน เราอาจต้องเตรียมการซักเล็กน้อย ผนังดินนั้นควรต้องแห้งสนิท แล้วค่อยทำการพรมน้ำให้ชื้นก่นการฉาบปูนขาว โดยไม่ให้เปียกเกินไปจนมีน้ำไหลลงมาตามผนัง ทิ้งไว้ให้น้ำซึมลงไปในผนังประมาณ 1 - 2 นาที แล้วจึงเริ่มฉาบปูนขาว ก่อนที่จะทำการฉาบในแต่ละชั้นเราจะต้องพรมน้ำที่ผนังเสียก่อน


ระบบการฉาบ 3 ชั้น


โดยปรกติการฉาบปูนขาวมักจะทำการฉาบทั้งหมด 3 ชั้น โดยเริ่มจากการรองพื้น โดยปรกติแล้วมีความหนาประมาณ 3/8 - ½ นิ้ว ถ้าใช้เกรียงเมื่อฉาบเสร็จแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง ให้เราทำรอยขีดที่ผนัง แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2 อาทิตย์ก่อนที่จะฉาบผนังชั้นที่ 2 ไม่ว่าจะฉาบด้วยมือหรือเกรียง ราควรต้องทำให้ผนังชั้นแรกขรุขระพอที่จะยึดกับปูนขาวฉาบชั้นที่ 2


คุณควรจะต้องพรมน้ำผนังปูนขาวฉาบให้ชื้น 1 - 3 ครั้งต่อวันภายใน 1 - 2 อาทิตย์แรก ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในพื้นที่ร้อน ลมแรง และแห้งแค่ไหน อาจจะใช้น้ำประปาหรือน้ำที่ผสมปูนขาวเพื่อพรมบนผนัง น้ำที่ผสมปูนขาวนี้อาจมาจากน้ำที่มาจากถังที่แช่ปูนขาวข้น(น้ำใส ๆ ที่อยู่ด้านบน) หรือผสม ปูนขาวข้น 1 ถ้วยต่อน้ำ 5 ถัง น้ำปูนขาวนี้จะช่วยเร่งกระบวนการทำปฏิกิริยา เวลาทำต้องระวังไม่ให้น้ำปูนขาวกระเด็นโดนผิวหนังหรือตา


หรือเราอาจจะใช้ผ้าใบหรือผ้ากระสอบปิดล้อมรอบผนังเพื่อป้องกันลม อากาศแห้ง และแสงแดด


การฉาบชั้นที่สองเพื่ออุดช่องว่าง และทำให้ผนังเรียบมากขึ้น ชั้นที่สองไม่ควรฉาบหนามากเพราะจะทำให้ร่อน ผนังที่หนาเกินไปจะลดการทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อผนัง ถ้าคุณใช้ปูนขาวข้นผสมทรายโดยไม่ใส่สารเพื่อเร่งให้แห้งเร็ว ไม่ควรจะฉาบหนาเกิน 2 หุนครึ่ง (5/16 นิ้ว) หลังจากฉาบเสร็จให้รอซักระยะนึ่งก่นที่การฉาบอีกครั้งเพื่อกลบรอยแตกร้าว หลังจากการฉาบอีกครั้งควรใช้ฟองน้ำลูบ(โดยไม่ต้องชุบน้ำ)อีกครั้ง เพื่อทำให้ผนังหยาบและยึดเกาะกับการฉาบชั้นสุดท้าย


เมื่อฉาบเสร็จแล้วก็ควรรักษาผนังให้ชื้นเช่นเดียวกับการฉาบชั้นแรก ในช่วง 1 - 2 อาทิตย์แรก คุณอาจฉาบชั้นแรกด้วยดินก่อนการฉาบด้วยปูนขาว เพื่ออุดรอยร้าวหรือรอยยุบต่าง ๆ ควรรอให้ผนังดินแห้งสนิทก่อนฉาบปูนขาว ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาไปได้ประมาณ 1 - 2 อาทิตย์


การฉาบชั้นสุดท้าย ผสมปูนขาว 1.5 ส่วนต่อทรายละเอียด 2 - 3 ส่วน ไม่ควรฉาบหนากว่า 1 หุน ฉาบโดยใช้เกรีย แล้วรอให้แห้งซักพัก แล้วฉาบอีกครั้งเพื่อให้ปูนฉาบแน่นทำให้สามารถกันน้ำได้ดีขึ้น ฉาบโดยการกดเกรียงลงไปเล็กน้อยเพื่อพิ่มความแน่นของผนัง ถ้าผนังแห้งเกินไปอาจทำการพรมน้ำก่อนการฉาบ เกรียงที่ใช้ควรชุบน้ำด้วยเพื่อทำให้ฉาบได้ง่าย


ถ้าต้องการให้ผนังหยาบอาจใช้เกรียงไม้ หรือใช้ฟองน้ำ(แห้ง)ฉาบ


คุณสามารถใช้ปูนขาวฉาบลงบนสังกะสีหรือไม้ได้หลายวิธี อย่างเช่น ไม้อาจทาด้วยแป้งเปียกผสมน้ำและทรายก่อน แล้วค่อยฉาบปูนขาวลงไป


การทำสี


ปูนขาวฉาบจะมีสีขาวเมื่อแห้ง แต่การทำสีจะช่วยให้สวยงามมากขึ้น การทำสีอาจทำได้โดยผสมสีฝุ่นธรรมชาติในการฉาบชั้นสุดท้าย หรือโดยการผสมสีฝุ่นลงในน้ำปูนขาวก็ได้ คุณอาจต้องระวังในการเลือกสีที่เหมาะสมกับปูนขาว เพราะปูนขาวมีฤทธิ์เป็นเบส (ค่า pH สูง) ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับเม็ดสีที่มีค่าความเป็นกรด (ค่า pH ต่ำ) หรือสีบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับเกลือ หรือเหล็กในบรรยากาศ ซึ่งเป็นผลให้เม็ดสีบางชนิดไม่คงทนและซีดจางเมื่อผ่านไปนาน ๆ


โดยทั่วไป สีที่เป็นออกไซด์ของเหล็ก เช่นสีเหลือง, ส้ม แดง และน้ำเงินจะค่อนข้างคงทน (แต่สีน้ำเงิน Cobalt blue ค่อนข้างเป็นอันตราย) ส่วนสีท่มีส่วนผสมของทองแดงจะไม่ค่อยคงทนนัก


คุณควรปรึกษากับผู้ขายที่มีความรู้ และควรจะทำการทดสอบสีก่อนที่จะนำไปทาบนอาคารจริง การจะทดสอบว่าสีใดคงทน ควรทาทิ้งไว้ 6 เดือนเพื่อดูผล


การใช้เม็ดสีที่ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์ได้เหมือนกัน แต่ต้องระวังว่าเม็ดสีสังเคราะห์บางชนิดนั้นเป็นพิษและมีผลต่อสุขภาพ ถ้าจำเป็นจะต้องใช้ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ควรระวังด้วยว่า แม้แต่เม็ดสีธรรมชาติบางชนิดก็เป็นพิษเช่นเดียวกัน


ช่างบางคนอาจผสมเม็ดสีลงในปูนฉาบชั้นสุดท้าย ไม่ควรใส่ผงสีเกิน 3 % โดยน้ำหนัก เพราะจะทำให้ความแข็งแรงของผนังลดลงและมีผลต่อการแข็งตัว


ขั้นตอนการผสมควรผสมสีกับทรายก่อน แล้วจึงนำไปผสมกับปูนขาวข้นแล้วกวนให้เข้ากัน อาจผสมสีด้วยน้ำเล็กน้อยก่อนนำมาผสมปูนขาวข้น แล้วเติมทรายทีหลัง


การทาด้วยน้ำปูนขาว


การทาด้วยน้ำปูนขาวนี้เป็นที่นิยมในอดีตและยังคงมีการใช้กันอย่างแพร่หายเพื่อให้ได้พื้นผิวที่มีความด้าน น้ำปูนขาวเกิดจากการผสมน้ำกับปูนขาวข้น แล้วทาลงบนผนังเพื่อเพิ่มการป้องกันและช่วยอุดรอยร้าว ทำให้ผนังเรียบมากขึ้น โดยอาจผสมเม็ดสีเพื่อเพิ่มความสวยงาม


การทาด้วยน้ำปูนขาวจะช่วยให้ผนังทนทานมากขึ้นและช่วยป้องกันฝน ถ้าคุณวางแผนที่จะทาด้วยน้ำปูนขาว คุณควรทำพื้นผิวฉาบชั้นสุดท้ายให้ขรุขระเล็กน้อย เราอาจทาด้วยน้ำปูนขาวผสมสีหลาย ๆ ชั้นเพื่อให้สีมีความเข้มมากขึ้น หรืออาจทาลงบนปูนขาวฉาบชั้นที่สุดท้ายที่ผสมสีไว้แล้วก็ได้


คุณสามารถฉาบน้ำปูนขาวบนผนังดินเลยก็ได้ แต่ควรจะทดลองก่อนที่จะทาจริง เพื่อมั่นใจว่ามันจะได้ผลอย่างที่คุณต้องการ การทาน้ำปูนขาวลงบนผนังอาจทำให้ดูเลอะเทอะมากกว่าที่จะดูสวยงาม ถ้าต้องการให้ได้สีที่สวย คุณควรฉาบด้วยปูนขาวซัก 1 ชั้นก่อนทำการทาด้วยน้ำปูนขาว


น้ำปูนขาวนี้มีคุณประโยชน์หลายอย่าง นอกจากการระบายสี และช่วยป้องกันผนังจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้ว ยังช่วยปกปิดร่อยรอยอันเกิดจากการฉาบที่ไม่พร้อมกัน(การฉาบแต่ละครั้งอาจผสมได้สีปูนขาวฉาบที่ต่างกันเล็กน้อย) เมื่อทาลงไปบนผนัง ปูนขาวฉาบจะทำปฏิกิริยาและช่วยปกปิดรอยร้าวบนผนัง ทำให้ผนังเรียบและคงทน ในขณะเดียวกันก็ยังคงระบายความชื้นได้ด้วย


วิธีการทำน้ำปูนขาว


น้ำปูนขาวทำจากปูนขาวข้นผสมน้ำ โดยเริ่มจากการผสมน้ำลงในปูนขาวข้น (น้ำ 1.5 ส่วนต่อปูนขาวข้น 2 ส่วน) จนได้ความเหนียวประมาณนมสด (สีที่ได้จะมีลักษณะกึ่งใส และอาจไม่ขาวเหมือนนมสด) แล้วนำไปเทผ่านตะแกรงเพื่อแยกปูนขาวส่วนที่จับตัวกันเป็นก้อนออก นำเม็ดสีผสมกับน้ำแยกไว้ต่างหาก แล้วจึงเทลงไปในน้ำปูนขาวแล้วคนให้ทั่ว


สัดส่วนในการผสมเม็ดสีนั้นค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะเมื่อแห้งสีที่ได้จะอ่อนลงไปมาก คุณจึงควรทดลองทาบนผนังแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งก่อน ระวังว่าการผสมเม็ดสีมากเกินไปจะทำให้ความแข็งแรงลดลง และจำไว้ว่าถ้าคุณต้องการสีที่สด อาจจะต้องทาซ้ำหลายรอบ


เมื่อคุณเตรียมน้ำปูนขาวไว้พร้อมแล้ว ให้ทำการพรมน้ำบนผนังให้เปียกเท่า ๆ กัน ถ้าคุณทาลงบนผนังแห้ง น้ำจะถูกดูดออกไปทันที ทำให้การยึดเกาะไม่ดีเท่าที่ควร


โดยปรกติแล้วเราจะทาน้ำปูนขาวโดยใช้แปรงทาสี ไม่ควรทาเร็วมากเกินไป เพราะน้ำปูนขาวกระเด็นได้ง่าย จึงควรสวมเสื้อแขนยาว ถุงมือ และแว่นตา เพื่อป้องกันปูนกัด


ก่อนที่จะทาน้ำปูนขาว ไม่ว่าจะทาผนังใหม่หรือซ่อมแซมผนังเก่า คุณควรทำความสะอาดโดยการปัดฝุ่นและทรายที่ลอยออกมาก่อน แล้วจึงพรมน้ำบนผนังให้ชื้นด้วน้ำสะอาด จำไว้ว่าน้ำปูนขาวจะไม่ทึบและหนาเหมือนกับสีโดยทั่วไป ถ้าเราต้องการให้มันทึบอย่างที่เราต้องการอาจต้องทาซ้ำหลายรอบ ต้องการการทาแต่ละครั้งจะดูบางมาก เพื่อไม่ให้มันร่อนออกมา เมื่อน้ำปูนขาวแห้งมันจะดูทึบขึ้นเล็กน้อย โดยปรกติแล้วเราต้องทา 3 - 6 ชั้น ก่อนที่จะทาชั้นต่อไป เราต้องรอให้ชั้นก่อนหน้านั้นแห้งจนสนิท แล้วทำการพรมน้ำให้ชื้น


เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด คุณควรทำผนังให้เปียกทิ้งไว้หนึ่งวันก่อนทาน้ำปูนขาว แล้วก่อนทาสีให้พรมน้ำอีกครั้ง การทาแต่ละครั้งควรห่างกันหลาย ๆ วัน (แม้ว่ามันจะแห้งภายในวันเดียว แต่มันจะต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์กว่าจะแข็งแรงโดยสมบูรณ์)






ที่มา : www.glasswarechemical.com

ต้นหินฟ้าแลบ - บาร์ตูนิต้า


ข้อมูลจาก Internet ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สมุนไพร

ยาสมุนไพรพื้นบ้าน :ใช้รักษาเนื้องอกในมดลูก, งูกัด, การป้องกันมะเร็ง, การป้องกันมะเร็ง, การรักษาโรคมะเร็ง , ยาขับปัสสาวะ ,ลดความดันโลหิต

Universiti Putra Malaysia ใน1999 ศึกษาใบหินฟ้าแลบในการป้องกันมะเร็ง พบว่า ใบหินฟ้าแลบ ใช้สำหรับยับยั้งโรคมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมได้ผลดี การศึกษาพบว่าการฉีดยาในหนูที่ติดเชื้อมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมพบว่าควบคุมการแพร่กระจายและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง

-ในประเทศอินโดนีเซียใบหินฟ้าแลบสามารถรักษาโรคปากนกกระจอกการใช้ภายนอกเพื่อรักษาอาการงูกัด และปลูกเป็นรั้วสามารถป้องกันงูและสัตว์มีพิษ

-ตามคำแนะนำของแพทย์แผนจีน ปริมาณที่ปลอดภัยอยู่ระหว่าง15 ถึง30 กรัมต่อครั้งและควรต้มประมาณ3 ถึง4 ชั่วโมง

-ข้อมูลจากมาเลเซีย ใช้ต้มดื่ม หักมา๑กิ่งล้างสะอาดใบมะละกอ๑ใบ หนานเฉาเหวย(南非草หนานเฟยเฉา)๗ใบ น้ำพอท่วมต้มดื่มครั้งละ๑แก้ว แก้โรคชิคุนกุนย่า



ชื่อภาษาจีน: เฮยเมี่ยนเจียน-จวิน (黑面將軍)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Strobilanthes Cripus, Strobilanthes crispa
ชื่อภาษาอังกฤษ: Black face general,Yellow Strobilanthus。
Pecah Beling , pokok pecah kaca หรือ pokok pecah beling (มาเลเซีย)
Pecah beling, enyoh kilo, kecibeling หรือ kejibeling (อินโดนีเซีย)
แหล่งกำเนิด: มาดากัสการ์, อินโดนีเซีย, คาบสมุทรมลายู









ต้นหินฟ้าแลบ - บาร์ตูนิต้า


ข้อมูลจาก Internet ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สมุนไพร

ยาสมุนไพรพื้นบ้าน :ใช้รักษาเนื้องอกในมดลูก, งูกัด, การป้องกันมะเร็ง, การป้องกันมะเร็ง, การรักษาโรคมะเร็ง , ยาขับปัสสาวะ ,ลดความดันโลหิต

Universiti Putra Malaysia ใน1999 ศึกษาใบหินฟ้าแลบในการป้องกันมะเร็ง พบว่า ใบหินฟ้าแลบ ใช้สำหรับยับยั้งโรคมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมได้ผลดี การศึกษาพบว่าการฉีดยาในหนูที่ติดเชื้อมะเร็งตับและมะเร็งเต้านมพบว่าควบคุมการแพร่กระจายและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง

-ในประเทศอินโดนีเซียใบหินฟ้าแลบสามารถรักษาโรคปากนกกระจอกการใช้ภายนอกเพื่อรักษาอาการงูกัด และปลูกเป็นรั้วสามารถป้องกันงูและสัตว์มีพิษ

-ตามคำแนะนำของแพทย์แผนจีน ปริมาณที่ปลอดภัยอยู่ระหว่าง15 ถึง30 กรัมต่อครั้งและควรต้มประมาณ3 ถึง4 ชั่วโมง

-ข้อมูลจากมาเลเซีย ใช้ต้มดื่ม หักมา๑กิ่งล้างสะอาดใบมะละกอ๑ใบ หนานเฉาเหวย(南非草หนานเฟยเฉา)๗ใบ น้ำพอท่วมต้มดื่มครั้งละ๑แก้ว แก้โรคชิคุนกุนย่า



ชื่อภาษาจีน: เฮยเมี่ยนเจียน-จวิน (黑面將軍)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Strobilanthes Cripus, Strobilanthes crispa
ชื่อภาษาอังกฤษ: Black face general,Yellow Strobilanthus。
Pecah Beling , pokok pecah kaca หรือ pokok pecah beling (มาเลเซีย)
Pecah beling, enyoh kilo, kecibeling หรือ kejibeling (อินโดนีเซีย)
แหล่งกำเนิด: มาดากัสการ์, อินโดนีเซีย, คาบสมุทรมลายู











สูตร 10-3-2-1-0 ช่วยนอนหลับ

สูตรนี้จะช่วยให้คุณนอนเวลานอนหลับได้ดีขึ้นและตื่นขึ้นมาอย่างสดชืนในเช้าวันรุ่งขึ้น และพร้อมสำหรับวันใหม่


  • 10 ชั่วโมงก่อนนอน - ควรงดผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ โค้ก ชา บุหรี่ เพราะร่างกายของคุณต้องใช้เวลาขัยออกจากกระแสเลือด
  • 3 ชั่วโมงก่อนนอน - ไม่ควรรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  จะช่วยหลีกเลี่ยงอาการเสียดท้อง (reflux กระเพาะอาหาร) และแอลกอฮอล์  อาจจะทำให้ะขัดจังหวะการนอนหลับลึก
  • 2 ชั่วโมงก่อนนอน - ไม่ควรทำงาน หรือโทรติดต่อ ,ตรวจสอบอีเมล ,อ่านรายงาน ,หรือคิดถึงงานวันพรุ่งนี้ 
  • 1 ชั่วโมงก่อนนอน - ไม่ควรใช้เวลาอยู่ที่หน้าจอ   ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  (โทรศัพท์,ทีวี,คอมพิวเตอร์) ก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอทำให้ยากที่จะหลับ ใช้เวลาอ่านหนังสือจริงอ่านหนังสือ,พูดคุย ,นั่งสมาธิ หรือเพลิดเพลินกับกิจกรรมอื่นแทน
  • 0 ชั่วโมงก่อนนอน - ไม่ควรตั้งเวลานาฟิกาปลุกแบบ เลื่อนปลุก