ปูนขาวไลม์ ไฮเดรตไลม์ ฉาบบ้านดิน

ปูนขาว ไลม์ (lime) มีชื่อเรียกทางเคมีว่า แคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide) และมีสูตรทางเคมีคือ CaO ลักษณะโดยทั่วไปเป็นผงสีขาว มีฤทธิ์เป็นด่าง กัดกร่อนได้ โดยปกติแล้วจะผลิตแคลเซียมออกไซด์, CaO จากการเผาวัสดุใดๆ ที่มีส่วนผสมของหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต, CaCO3) เป็นองค์ประกอบ ณ อุณหภูมิมากกว่า 825 องศาเซลเซียส เรียกกระบวนการเผานี้ว่า calcination และจะมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)ออกมา ปูนขาวนี้ สามารถทำปฏิกิริยากับ CO2 ที่อยู่ในอากาศ โดยอาศัยระยะเวลาที่นานพอ กลับกลายเป็น CaCO3 ได้ ดังนั้นการเก็บรักษาต้องระวังไม่ให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในภาชนะที่ใช้จัดเก็บได้


สมการแสดงปฏิกิริยา calcination หินปูน

CaCO3 (s) ð CaO (s) + CO2 (g)

โดยทั่วไปราคาของปูนขาวเมื่อเทียบกับสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือว่ามีราคาไม่แพงมากนัก แต่สามารถใช้เป็นสารตั้งต้นเพื่อผลิตสารเคมีชนิดอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น การผลิต แคลเซียมไฮดรอกไซด์, Ca(OH)2 จากการนำปูนขาวทำปฏิกิริยากับน้ำ

CaO (s) + H2O (l) Ca(OH)2 (aq) (ΔHr = −63.7 kJ/mol of CaO)

นอกจากจะได้ Ca(OH)2 เป็นผลิตภัณฑ์แล้ว ปฏิกิริยานี้ยังให้ความร้อนออกมาค่อนข้างมากถึง -63.7 kJ/mol ทำให้สามารถประยุกต์ใช้เป็นแหล่งกำเนิดความร้อนแบบพกพาได้อีกด้วย ในทางกลับกันเมื่อเผา Ca(OH)2 ที่อุณหภูมิ 512 องศาเซลเซียส ก็จะได้ CaO กลับคืนมาดังสมการ

Ca(OH)2 → CaO + H2O

ปูนขาวมีประวัติศาสตร์การใช้สอยมาอย่างยาวนาน มีบันทึกการใช้ปูนขาวในการฉาบภายนอกอาคารในประเทศตุรกีตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 6,000 ปีก่อน ชาวโรมันเองก็ใช้ปูนขาวในการก่อและฉาบอาคาร ในพื้นที่หนาวและชื้นดังเช่นพื้นที่แถบประเทศสกอตแลนด์และเวลส์ก็มีการฉาบปูนขาวบนอาคารที่สร้างจากหินเพื่อป้องกันดินก่อจากสภาพอากาศและฝนที่รุนแรง โดยใช้วิธีการแบบโบราณคือการปาดินฉาบเข้าใส่ผนังเพื่อป้องกันการแตกร้าว ซึ่งจะทำให้น้ำไปทำลายรอยต่อของผนังหิน

ถึงแม้ว่าจะมีการใช้ปูนขาวมาอย่างยาวนานทั่วโลก แต่สำหรับพื้นที่แถบอเมริกาเหนือในปัจจุบัน การฉาบอาคารด้วยปูนขาวเริ่มสูญหายไปจากการรับรู้ของคน เรื่องมาจาการใช้คอนกรีตฉาบกันอย่างกว้างขวาง แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ปูนขาวก็เริ่มที่จะได้รับความนิยมจากผู้สร้างบ้านธรรมชาติที่ต้องการวัสดุที่แข็งแรงทนทานแสะกันน้ำได้

ในบทนี้เราจะเข้าไปสำรวจโลกของปูนขาว, การใช้งาน, วิธีการทำ, วิธีการนำไปใช้ และข้อดีข้อเสียของมัน เพื่อประกอบการตัดสินใจในการที่จะเลือกใช้วัสดุที่มหัศจรรย์แต่ค่อนข้างจะใช้ยากนี้ แม้ว่าเราจะพยายามครอบคลุมทุกประเด็น แต่เราก็ขอแนะนำให้คุณอ่านและศึกษาเพิ่มเติม และแนะนำให้คุณเข้าร่วมการอบรม พยายามศึกษาเท่าที่คุณจะทำได้ ทดลอง และเลือกระบบของปูนขาวที่เหมาะสมกับโครงการของคุณมากที่สุด

ทำความเข้าใจปูนขาว

ปูนขาวที่ใช้ในการฉาบประกอบด้วยส่วนผสมของปูนขาวกับทราย แม้ว่ามันจะถูกเรียกว่าเป็นวัสดุธรรมชาติ แต่ความจริงแล้วเราไม่สามารถพบมันได้ในธรรมชาติ ปูนขาวนั้นผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่มากมายในธรรมชาติ นั่นคือปูนขาว โดยผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานพอสมควร


อย่างที่คุณอาจจะรู้แล้ว หินปูนนั้นเป็นหินตะกอนที่ถูกทับถมและผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายผ่านระยะเวลาอันยาวนาน หินปูนส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพืชและสัตว์น้ำ เพื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ตายและทับถมอยู่บนพื้นมหาสมุทร เมื่อผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ซากเหล่านั้นก็ย่อยสลายจนเกิดเป็นชั้นดินเลนหนาซึ่งเต็มไปด้วยธาตุแคลเซียม หรือที่เราเรียกว่า แคลเซียมคาร์บอเนต


ในขณะที่แคลเซียมคาร์บอเนตกำลังสะสมอยู่ที่ใต้พื้นมหาสมุทร แมกนีเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเลก็ถูกดึงเข้ามาผสม ปริมาณของแมกนีเซียมคาร์บอเนตที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิดหินปูนที่ต่างกัน ๓ ประเภท ซึ่งจำแนกประเภทตามปริมาณของแมกนีเซียมคาร์บอเนต


เมื่อผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ชั้นดินเลนของแคลเซียมซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตในอัตราส่วนที่ต่างกันก็รวมตัวกันเป็นหินปูน ชั้นหินปูนเหล่านี้ได้ถูกกลบทับด้วยตะกอนอื่น ๆ ผ่านระยะเวลาอันยาวนานทางธรณีวิทยา พื้นมหาสมุทรบางส่วนได้กลับมาอยู่บนพื้นแผ่นดิน และพื้นที่เหล่านี้แหละที่กลายมาเป็นเหมืองหินปูนที่นำมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งการใช้ในการก่อสร้าง


หินปูนได้ถูกนำมาใช้อย่างหลากหลายทั่วโลก ในหลาย ๆ วัฒนธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้หินปูนอย่างแพร่หลายทั่วโลกตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ หินปูนจะถูกสกัดออกจากเหมืองแบบเปิด ผ่านการบดอัน และผ่านความร้อนในเตาซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 2000 องศาฟาเรนไฮต์ นี่คือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมปูนขาวถึงได้ทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าดินฉาบ เมื่อหินปูนถูกเผา ความร้อนจะขับเอาคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำออก และเปลี่ยนแคลเซียมคาร์บอเนต และแมกนีเซียมคาร์บอเนตให้กลายเป็นแคลเซียมออกไซด์ และแมกนีเซียมออกไซด์ ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อปูนขาว


ในการทำปูนขาวสำหรับฉาบ เราต้องนำปูนขาวที่ซื้อมาจากร้านในรูปของผงแป้งมาแช่น้ำเสียก่อน ในกระบวนการนี้ แคลเซียมออกไซด์ และแมกนีเซียมออกไซด์จะทำปฏิกิริยากับน้ำจนเกิดเป็น แคลเซียมไฮดรอกไซด์ และแมกนีเซียมไฮตรอกไซด์ ความร้อนจำนวนมากจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากปฏิกิริยาทางเคมี ผลของมันจะทำให้เกิดส่วนผสมที่นุ่มเหนียวมีลักษณะคล้ายปูนโป้ว ซึ่งเป็นส่วนผสม


หลักของปูนขาวที่เราจะนำมาฉาบ

ปูนขาวที่ผสมน้ำนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีจนเสร็จสิ้น ก่อนที่จะนำมาผสมทรายเพื่อทำปูนฉาบ แม้ว่าโดยกระบวนการจะใช้เวลาแค่ ๒ - ๓ เดือนก่อนที่จะนำมาใช้ แต่การทิ้งไว้เกิน ๒ ปีน่าจะดีกว่า ในยุคสมัยที่ผู้คนไม่ได้มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบอย่างทุกวันนี้ การแช่น้ำทิ้งไว้ ๕ ปีดูจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม ในวัฒนธรรมที่ยังคงใช้ปูนขาวในการฉาบอาคารยังเชื่อว่ายิ่งแช่น้ำไว้นานเท่าไหร่เราก็จะได้ปูนโป้วที่ดีขึ้นเท่านั้น เพราะจะช่วยให้ปูนขาวทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ปูนโป้วนั้นละเอียดและง่ายต่อการฉาบ ที่สำคัญคือช่วยลดความเสียหายหลังจากการฉาบ เพราะวัสดุที่ไม่ได้ทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างสมบูรณ์ มันอาจไปทำปฏิกิริยากับน้ำขณะอยู่บนผนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดการกระเทาะเป็นรูเล็ก ๆ บนพื้นผิวผนัง

หลังจากที่ปูนขาวได้ทำปฏิกิริยากับน้ำเรียบร้อยแล้ว เนาจึงนำมาผสมกับทรายเพื่อทำเป็นปูนขาวฉาบลงบนผนัง เมื่อถึงจุดนี้ แคลเซียมไฮดรอกไซด์จะเริ่มทำปฏิกิริยาทางเคมีอีกครั้งกับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะทำให้มันค่อย ๆ กลับคืนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต กลายเป็นหินปูน ซึ่งสามารถคงทนอยู่ได้เป็นร้อยหรือพันปี

ปูนขาวฉาบนี้สามารถที่จะใช้ได้ในอาคารธรรมชาติทุกประเภท ทั้งอาคารแบบก้อนฟาง ดินปั้น อิฐดินดิบ โดยอาจจะฉาบลงบนผนังโดยตรง หรือฉาบทับดินฉาบอีกครั้งหนึ่ง แต่ทำไมเราถึงเลือกใช้ปูนขาวฉาบล่ะ

ทำไมถึงเลือกใช้ปูนขาวฉาบ

มีการใช้ปูนขาวฉาบทั้งภายในและภายนอกอาคาร แต่มันจะสมประโยชน์กับภายนอกอาคารที่ต้องการการป้องกันจากสภาพอากาศเป็นพิเศษมากกว่า โดยเฉพาะความสามารถในการกันฝน อาคารแบบดินปั้นหลายหลังแถบทางใต้ของประเทศอังกฏษก็ได้รับการป้องกันจากปูนขาวฉาบนี้ ปูนขาวฉาบนี้สามารถผสมผงสีได้

ผนังปูนขาวฉาบนี้น้ำสามารถซึมผ่านได้ หรือ "หายใจได้" เพื่อช่วยให้ความชื้นจากผนังสามารถที่จะผ่านผนังออกไปได้ และปูนขาวฉาบนี้ไม่มีลักษณะอมน้ำเหมือนกันปูน(ซีเมนต์)ฉาบทั่วไป หรืออาจจะพูดอีกอย่างว่า ปูนขาวฉาบนี้จะไม่ดูดเอาความชื้นจากภายนอกเข้าไปที่ผนังดิน

ข้อดีอีกอย่างของมันคือความคงทน ปูนขาวฉาบมีความแข็งแรงมากและสามารถคงทนอยู่ได้เป็นร้อยปี นอกเหนือจากนั้นมันยังมีความอ่อนตัว ทำให้มันไม่แตกร้าวมากเมื่อดินขยายหรือหดตัวเมื่ออุณหภูมิหรือความชื้นเปลี่ยนแปลง (ในปูนฉาบทั่วไปก็มีการผสมปูนขาวเข้าไปเพื่อทำให้มันยืดหยุ่นขึ้น และลดการแตกร้าว) นอกเหนือจากนั้น ปูนขาวฉาบและดินมีอัตราการขยายและหดตัวที่ใกล้เคียงกัน ทำให้โอกาสที่จะแตกหรือหลุดร่อนเนื่องจากการขยายหรือหดตัวของวัสดุมีน้อยลง

ปูนขาวฉาบหดตัวเพียงเล็กน้อยเมื่อแห้ง จึงลดความเป็นไปได้ที่จะแตกร้าว และเพราะว่าปูนขาวไม่ดูดซึมน้ำเหมือนกับปูนซีเมนต์ ทำให้ปูนขาวฉาบนี้ไม่ได้ไปทำลายผนังดินด้านใน คุณคงนึกภาพออกว่าเมื่อคุณฉาบผนังด้วยปูนซีเมนต์ซึ่งดูดความชื้นสู่ผนัง มันก็จะทำให้ผนังดินด้านในผุพัง และมีโอกาสที่จะแยกตัวออกจากผนัง

ปัจจัยที่ว่านี้ส่งผลให้ปูนขาวฉาบนี้มีโอกาสแตกร้าวน้อยกว่าปูนซีเมนต์ และรอยร้าวในปูนขาวฉาบที่เกิดจากอาคารปิดตัวหรือจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของผนังนั้นมีขนาดเล็กกว่ารอยแตกร้าวในปูนซีเมนต์

ปูนขาวฉาบยังมีความสามารถที่จะเยียวยาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะรอยแตกร้าวขนาดเท่าเส้นผม เนื่องจากแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในปูนขาวฉาบนี้จะทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในธรรมชาติซึ่งจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่จะซ่อมแซมรอยร้าวเล็ก ๆ นี้ ถ้ารอยร้าวมีขนาดใหญ่กว่านั้น เราก็สามารถซ่อมแซมได้โดยการละลายปูนขาวฉาบให้มีลักษณะเป็นน้ำ หรือให้ข้นเหมือนน้ำนมแล้วฉาบ

ปูนขาวฉาบนั้นฉาบได้ง่าย สามารถยึดเกาะกับผนังดินได้ดีโดยไม่ต้องใช้ลวดกรงไก่ ความหนืดและเหนียวของมันทำให้สามารถที่จะโปะลงบนผนังได้ง่าย ปูนขาวฉาบจะค่อย ๆ แห้งทำให้ผู้ฉาบมีเวลาที่จะฉาบแต่งได้โดยไม่ต้องรีบร้อง โดยปรกติจะใช้เวลาประมาณ ๕ - ๗ วันเพื่อให้ปูนขาวฉาบนี้แข็งแรงพอที่เอานิ้วโป้งกดแล้วไม่เป็นรอยจม แต่ยังไม่สามารถทนกับแรงกระแทกได้ ปูนขาวฉาบนี้ใช้เวลาแห้งเต็มที่ประมาณ ๑ ปี ซึ่งก็คือเปลี่ยนสภาพตัวมันเองทั้งหมดไปเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต

ข้อดีอีกข้อของปูนขาวฉาบคือความเป็นด่างของมันไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของเห็ดและรา ซึ่งอาจทำให้สีของผนังด่างและอาจมีผลต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย

ข้อดีข้อสุดท้ายของปูนขาวฉาบคือ มีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าคอนกรีต ทำให้หน้าหนาวอุณหภูมิภายในบ้านอุ่นกว่าภายนอก (สำหรับแถบประเทศหนาว และทำให้ภายในบ้านมีอากาศเย็นในหน้าร้อนในกรณีประเทศแถบร้อน-ผู้แปล)

ข้อเสียของปูนขาวฉาบ


แม้ว่าจะมีเหตุผลหลายประการที่คุณควรจะเลือกใช้ปูนขาวฉาบ แต่ตัวมันเองก็มีข้อเสียด้วย เช่น ปูนขาวนั้นเป็นวัสดุที่สามารถกัดผิวได้เมื่อผสมผงปูนขาวเข้ากับน้ำ ระหว่างการทำปฏิกิริยาทางเคมีและเกิดความร้อน สารละลานน้ำอาจกระเด็นขึ้นมาโดนมือ, แขน, หน้า หรือโดนตา ซึ่งอาจทำให้ไหม้ได้ถ้าไม่ได้ใส่เครื่องป้องกัน เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดีเวลาผสม

แม้ว่าปูนขาวจะใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการผลิตปูนซีเมนต์ แต่ก็ยังถือว่าใช้พลังงานมากกว่าการใช้ดินฉาบอยู่พอสมควร ถ้าคุณคำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม,,,ก็ควรใช้ดินฉาบทั้งภายในและภายนอก หรืออาจใช้ดินฉาบแล้วทำผิวขั้นสุดท้ายด้วยปูนขาว

ปูนขาวเป็นวัสดุที่ต้องพิถีพิถัน เพราะการที่หลังจากฉาบไปแล้วแคลเซี่ยมไฮดรอกไซด์จะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตหลังจากที่ทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกิริยานี้จะเกิดได้ดีในอุณหภูมิอุ่น และมีความชื้นพอประมาณ ปฏิกิริยานี้อาจช้าลงถ้าเปียก หรือแห้ง หรือร้อนเกินไป

ปูนขาวฉาบต้องการการประคบประหงม หลังจากที่ฉาบไปแล้ว เราจะต้องคอยทำให้ชื้นประมาณวันละครั้งตลอด ๗ - ๑๔ วัน สำหรับภูมิอากาศแบบเย็นและชื้น เพื่อมั่นใจว่ามันจะคงสภาพที่ดี สำหรับสภาพภูมิอากาศแบบร้อน แห้ง หรือมีลมแรง อาจต้องมีการพรมน้ำวันละ ๒ - ๓ ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผนังแห้งเร็วจนเกินไป (ถ้าแห้งเร็วเกินไปจะทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีช้าลง) อาจจำเป็นต้องแขวนผ้าใบหรือผ้ากระสอบรอบผนังเพื่อรักษาความชื้น

ในภูมิประเทศที่มีฝนตกชุก อาจต้องป้องกันผนังจากฝนโดยการแขวนผ้าใบไว้จนกว่าฝนจะหยุด ผ้าใบที่แขวนควรห่างจากผนังเล็กน้อยเพื่อให้ความชื้นจากผนังสามารถที่จะระเหยออกมาได้ ถ้าแขวนติดกับผนังอาจทำให้ราขึ้น

ถ้าต้องการเร่งให้ผนังแห้งเร็วขึ้นอาจทำได้โดยการเพิ่มสารเร่งซึ่งมีหลากหลายชนิด ในอดีตมีการใช้อิฐ..... กระเบื้อง(ปูพื้น-ผู้แปล)ดินเผา และหม้อดินเผา ซึ่งจะต้องทำการโม่หรือบดให้ละเอียดเพื่อผสมลงไป อิฐ.....อาจหาได้ตามร้านขายเครื่องปั้นดินเผาทั่วไป บางครั้งมีการผสมผงฝุ่น(fly ash) ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีคุณสมบัติดีมาก แต่ค่อนข้างอันตรายเนื่องจากมันมีส่วนผสมของโลหะหนักที่เป็นสารพิษ fly ash อาจมีผลกับผู้อยู่อาศัย ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่แนะนำให้ใช้

ส่วนผสมอื่นคือ Hydraulic Lime ซึ่งผสมดินเหนียวเพื่อให้setตัวเร็วขึ้น หรืออาจผสมซีเมนต์เพื่อเร่งเวลาแห้งให้เร็วขึ้น นักสร้างบ้านชาวแคนาดา Michel Bergeron บอกว่า ถ้าผสมซีเมนต์ต่ำกว่า 20 เปอร์เซนต์โดยปริมาตรจะทำให้แห้งเสร็จก่อน 24 ชั่วโมง โดยมีความยืนหยุ่นและความแข็งแรงเหมือนเดิม แต่จากประสบการของผู้ใช้ปูนขาวฉาบในยุโรป จะหลีกเลี่ยงการเพิ่มซีเมนต์นี้ เพราะรู้สึกว่ามันจะทำให้ปูนขาวฉาบนี้มีความแข็งแรงลดลง ซึ่งเราเห็นด้วย

สารที่ผสมเพื่อเร่งการแข็งตัวจะทำปฏิกิริยากับปูนขาวเพื่อสร้างโครงสร้างคริสตัลคล้ายกับแคลเซียมคาร์บอเนต แต่ถึงแม้ว่ามันจะก่อรูปและแข็งตัวได้เร็วกว่า แต่ก็จะทำให้มันลดความสามารถในการระบายความชื้น และความแข็งแรง ซึ่งสำหรับบ้านดินหรือบ้านฟางแล้ว นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่อาจจะเป็นอันตรายได้

ปูนขาวก็คล้ายกับการฉาบด้วยดินคือต้องการการดูแลรักษา แม้ว่าปูนขาวฉาบจะไม่ร้าวมากและสามารถรักษาตัวเองได้ในระดับหนึ่ง มันก็ยังต้องฉาบหรือใช้ปูนขาวผสมน้ำทาทุก ๆ 2 - 10 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสภาพอากาศ อาจต้องมีการอุดรอยบ้าง การซ่อมแซมนั้นอาจต้องใช้เวลา แต่ก็ยังถือว่าใช้เวลาน้อยกว่าการขูดสีเดิมออกจากบ้านไม้แล้วทาสีใหม่ อย่างไรก็ตามไม่ว่าบ้านคุณจะสร้างด้วยวัสดุอะไรก็จำเป็นจะต้องมีการดูแลรักษาทั้งนั้น

วิธีการทำ Lime Putty (ปูนขาวข้น)

ปูนขาวฉาบคือการผสมทรายเข้ากับปูนขาวข้น ถ้าคุณโชคดีอยู่ในประเทศที่ยังมีการใช้ปูนขาวฉาบอยู่ เช่นในสหราชอาณาจักร คุณอาจหาซื้อปูนขาวข้นสำเร็จรูปได้ตามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างแล้วนำมาผสมทรายได้เลยแต่ถ้าหาซื้อไม่ได้ คุณก็สามารถทำตัวเองได้

วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผง (Quicklime)

Quicklime มีลักษณะเป็นผงแป้งซึ่งประกอบไปด้วยแคลเซียมออกไซด์และแมกนีเซียมออไซด์ในหลาย ๆ สัดส่วน(ขึ้นอยู่กับแหล่งของหินปูน) แม้ว่าจะหาซื้อได้ยากในอเมริกาเหนือ แต่ช่างฉาบเชื่อว่าปูนขาวที่แช่น้ำไว้ดีจะเป็นัวฉาบที่ดีที่สุด

การแช่ปูนขาวเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่าย แต่ผู้เขียนหนังสือ "คู่มือของสมาคมผู้ใช้ปูนขาวแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา" ได้ชี้ให้เห็นว่า "ดูเหมือนจะง่าย แต่มันก็ต้องการทักษะและประสบการ" ซึ่งอาจต้องการการฝึกฝนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่มีประสบการณ์อาจทำปูนขาวให้เสียหายจากความเผลอเรอหรือไม่ใส่ใจได้ ผงปูนขาวอาจเป็นอันตราย เราไม่ควรจะสูดเอาผงฝุ่น, ไม่ให้สัมผัสกับตาและผิวหนัง การนำเอาผงปูนขาวไปแช่น้ำ แม้จไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำอันตรายกับเราได้เหมือนกัน

การทำปูนขาวข้นนี้สามารถใช้กับปูนขาวทุกประเภท ทั้งประเภทที่มีแคลเซียมสูง และที่มีแมกนีเซียมสูง แต่ไม่ว่าปูนที่เรามีอยู่จะมีส่วนผสมอย่างไร เราควรจะหาความรู้ก่อนที่จะเริ่มทำด้วยการอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับปูนขาวหรือหาที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญการทำปูนขาว หรือให้ดีที่สุด คุณอาจลองหาโอกาสลองทำกับผู้ที่มีระสบการณ์ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการทำปูนขาวฉาบมาก่อน ก่อนที่คุณจะลองผสมปูนขาวฉาบของตัวเอง

ก่อนที่จะเริ่ม ตัดสินใจก่อนว่าคุณจะใช้ปูนขาวที่มีสัดส่วนของแคลเซียมออกไซด์และแมกนีเซียมออกไซด์ก่อน ซึ่งคุณจะได้เห็นว่ามันมีผลต่อวิธีการผสมมาก และอย่าลืมที่จะใส่ชุดให้รัดกุมเพื่อป้องกันร่างกายจากการโดนปูนกัด

วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแคลเซียมสูง

ก่อนอื่นให้ใส่น้ำสะอาดลงในถังที่สะอาด ถังที่ใช้ควรจะเป็นถังโลหะหรือถังพลาสติกที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะพลาสติกส่วนใหญ่อาจไม่ทนความร้อนที่สูง และเริ่มจากการใส่น้ำอย่างน้อย 3 ส่วนต่อปูนผง 1 ส่วน เมื่อคุณยังหัดทำอยู่ควรเริ่มทำจากจำนวนน้อย ๆ

หลังจากที่ใส่น้ำลงในถังให้ค่อย ๆ ใส่ปูนขาวผงไป ซึ่งมันจะจมดิ่งลงไปที่ก้นถัง ค่อย ๆ ใส่ปูนขาวผงลงไปจนกระทั่วส่วนผสมเริ่มเกิดฟองที่อุณหภูมิประมาณ 100 - 120 องศา ค่อย ๆ กวนส่วนผสมช้า ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ปูนขาวผงได้ทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างทั่วถึง ถ้าจำเป็นอาจเพิ่มน้ำเพื่อลดอุณหภูมิของน้ำลง แต่จงจำไว้ว่าถ้าเติมน้ำมากเกินไปจะทำต้องรอเวลาที่ส่วนผสมจะได้ระดับความเหนียวที่เหมาะสมนานขึ้น

ระวังว่าปูนขาวนั้นทำปฏิกิริยากับน้ำอย่างรวดเร็วและจะทำให้เกิดความร้อนสูง การใส่ปูนขาวทีละน้อยจะช่วยให้เราสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัย

เมื่อส่วนผสมหยุดเดือด ให้ค่อย ๆ คนด้วยไม้พายที่สะอาดเพื่อให้มั่นใจว่าทุก ๆ อนุภาคของปูนขาวได้สัมผัสกับน้ำ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่ได้ทำปฏิกิริยา หลังจากนั้นก็ปล่อยส่วนผสมทั้งหมดไว้ให้ทำปฏิกิริยาจนสมบูรณ์ จำไว้ว่าแม้ว่าคุณกำลังทำงานอยู่กับปูนขาวที่มีส่วนผสมของแคลเซียมที่สูง มันก็ยังมีส่วนผสมของแมกนีเซียม ซึ่งยิ่งส่วนผสมของแมกนีเซียมสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งใช้เวลาในการทำปฏิกิริยานานขึ้นเท่านั้น และเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดคุณควรกวนส่วนผสมวันละครั้งในช่วง 3 - 4 วันแรก และมั่นใจว่าได้เก็บส่วนผสมไว้ในพาชนะที่ปิดโดยมีระดับน้ำสูงกว่าปูนขาวประมาณ 2 นิ้วเพื่อป้องกันไม่ให้ปูนขาวสัมผัสกับอากาศ คอยตรวจสอบระดับน้ำอยู่เสมอเพราะเมื่อไหร่ที่ปูนขาวสัมผัสกับอากาศ มันก็จะเริ่มทำปฏิกิริยากับคาร์บอนในอากาศ ซึ่งจะทำให้ปูนขาวขันนั้นติดกับผนังได้ยากขึ้น

วิธีการทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแมกนีเซียมสูง

การทำปูนขาวข้นจากปูนขาวผงที่มีแมกนีเซียมสูงนั้นค่อนข้างง่าย แทนที่เราจะเทปูนลงไปในน้ำ คราวนี้เราต้องเทน้ำลงไปบนปูนขาวผง และปริมาณน้ำที่ใช้จะน้อยกว่าที่ใช้ในการผสมปูนขาวผงที่มีแคลเซียมสูงประมาณครึ่งหนึ่งถึงสองในสามส่วน กระจายผงปูนขาวให้ทั่วก้นถังให้หนาเท่า ๆ กัน ค่อย ๆ เติมน้ำจนกว่ากระบวนการจะเริ่ม เมื่อเริ่มเดือดและเกิดฟองอากาศให้ใส่น้ำที่เหลือลงไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเทน้ำทั้งหมดลงไปแล้ว ซึ่งก็คือตัวปูนขาวข้นนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำประมาณ 1 - 2 นิ้ว ค่อย ๆ คนให้อนุภาคของปูนขาวทั้งหมดได้สัมผัสกับน้ำ จุดนี้แหละที่ประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าผสมน้ำมากเกินไป ปูนขาวที่มีแมกนีเซียมสูงนี้จะไม่หนืดข้น คุณจะบอกได้ว่าคุณทำพลาดไปแล้วถ้าคุณเห็นส่วนผสมไม่ข้นและเหลวเป็นน้ำอยู่

ถ้าใส่น้ำน้อยเกินไปจะทำให้ปูนขาวข้น"ไหม้" ซึ่งหมายว่าว่าอนุภาคเล็ก ๆ ของปูนขาวบางส่วนนั้นไม่ได้ทำปฏิกิริยากับน้ำจนสมบูรณ์ เมื่อนำไปฉาบบนผนัง ก็อาจทำให้ผนังส่วนนั้นกระเทาะออกมาทำให้เกิดหลุมบนพื้นผิวผนัง

การกรองและเก็บปูนขาวข้น

หลังจากปูนขาวข้นเย็นแล้ว โดยปรกติประมาณ 1 - 2 วันสำหรับถังขนาดใหญ่ หลังจากที่เราได้กรองเอาปูนที่เป็นก้อนและสิ่งสกปรกอื่น ๆ ออกแล้ว ให้เก็บไว้ในถังที่มีระดับน้ำสูงเกินกว่าปูนขาวข้นประมาณ 1 - 2 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปูนขาวข้นสัมผัสกับอากาศ ต้องคอยตรวจสอบและเติมน้ำอย่างสม่ำเสมอ

ควรเตรียมถังให้ขนาดใหญ่กว่าปริมาณที่ผสม เพราะปูนขาวเมื่อแช่น้ำแล้วจะขยายตัวประมาณ 30 เปอร์เซนต์ของปริมาณปูนขาวผง

การผสมปูนขาวฉาบจากปูนขาวข้น

ปูนขาวฉาบได้จากการผสมปูนขาวข้นกับทราย อย่างที่คุณเห็นว่าปูนขาวข้นนั้นอาจทำได้จากหลายทาง เช่น จากร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ทำจากปูนขาวผง

การผสมปูนขาวฉาบควรทำล่วงหน้าก่อนเริ่มฉาบนานพอสมควร เพื่อให้ปูนขาวที่เราจะใช้นั้นได้ทำปฏิกิริยาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องอายุของมัน เพราะปูนขาวข้นนี้สามารถที่จะเก็บไว้ได้นานโดยไม่เสียหาย ตราบใดที่ยังมีน้ำสูงกว่าตัวปูนข้น 1 - 2 นิ้ว

การผสมปูนขาวฉาบ

ปูนขาวฉาบนั้นสามารถฉาบลงบนผนังดินได้โตยตรง เราอาจจะฉาบเพียง 1 - 2 ชั้นบนผนังที่ฉาบด้วยดิน หรืออาจฉาบ 3 ชั้นบนผนังที่ยังไม่ได้ฉาบดิน ซึ่งเราจะอธิบายระบบการฉาบ 3 ชั้นก่อน

ในการฉาบ 3 ชั้นนั้น สองชั้นแรกมักจะใช้ปูนขาวข้น 1 ส่วนกับทราย 2 - 3 ส่วน อาจใส่วัสดุเส้นใยเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรงดึงก็ได้ยกเว้นการฉาบชั้นสุดท้าย ปูนฉาบชั้นแรกอาจมีส่วนผสมของปูนขาวต่อทรายมากกว่า อาจเป็น 1.5 ส่วนต่อทราย 2 - 3 ส่วน

ทรายจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดการแตกร้าว ทรายที่ใช้ผสมในปูนขาวควรจะเป็นทรายที่มีลักษณะของอนุภาคแหลม ไม่ควรใช้ทรายที่มีลักษณะกลมมน และขนาดของเม็ดทรายควรมีความหลากหลาย ทรายที่ละเอียดมาก ๆ หรือทรายที่มีขนาดอนุภาคเท่ากันหมดจะทำให้ปูนขาวฉาบนั้นแข็งแรงน้อยลงและอาจทำให้แตกร้าว ทรายที่เล็กและกลมจะทำให้ผนังไม่แข็งแรง อาจแตกร้าวหรือหลุดร่อนได้ ทรายทะเลที่มีส่วนผสมของเกลือจะทำให้เกิดรอยเปื้อนขาวจากการที่เกลือพยายามที่จะดันตัวเองมาอยู่บนพื้นผิว ถ้าจะใช้ทรายทะเลควรล้างให้สะอาดก่อน

เมื่อผสมปูนขาวฉาบให้ผสมน้ำ ปูนขาวข้น และทรายเข้าด้วยกันด้วยมือ (โดยใช้ไม้พาย ไม่ควรใช้มือเปล่า) เมื่อผสมดีแล้วจึงค่อยใส่วัสดุเส้นใย(จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) อาจใช้ขนสัตว์หรือฟางแต่โดยปรกติแล้วจะใช้ในการฉาบภายในหรือฉาบชั้นแรกของผนังด้านนอกเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ไม่ควรใส่เส้นใยในการฉาบชั้นสุดท้ายเพราะขนหรือเส้นใยที่ฉาบในชั้นสุดท้ายนี้จะดูดซับความชื้นจากอากาศ ซึ่งอาจทำให้ปูนฉาบแตกร้าวในสภาพอากาศที่หนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง เราสามารถใช้วัสดุเส้นใย หรือขนสัตว์ได้หลากหลายชนิด ในยุโรปนิยมใช้ขนม้าในปูนขาวฉาบ (ยกเว้นขนแผงคอและหาง) ซึ่งผิวค่อนข้างหยาบ ขนวัว, แพะ และหมู ก็ถือว่าใช้ได้ ผมของคนก็สามารถใช้ได้ถ้าผมนั้นไม่เรียบลื่นจนเกินไป

ไม่ว่าจะใช้ขนสัตว์ชนิดใด เราควรจะต้องแยกออกจากกันไม่ให้ติดเป็นก้อน เพื่อไม่ให้มันกระจุกตัวอยู่ในปูนขาวฉาบ และผสมขนสัตว์ต่อปูนขาวฉาบในสัดส่วน 0.5 ต่อ 1

เนื่องจากปูนขาวฉาบต้องใช้ขนสัตว์มาก บางคนจึงนิยมใช้ฟางในการฉาบอาคารด้านใน และฉาบรองพื้นในผนังด้านนอก เพราะฟางนั้นหาได้ง่ายกว่าในคุณภาพที่น่าพอใจ โดยใช้สัดส่วนเดียวกับการผสมขนสัตว์ ฟางที่ใช้ควรตัดให้อยู่ในขนาด 1 - 3 นิ้ว การใช้ฟางอาจต้องผสมน้ำเพิ่มเพราะฟางจะดูดซีมน้ำทำให้ปูนขาวฉาบนั้นแห้ง การผสมใช้เวลาประมาณ 10 นาที แม้ว่าหลายคนจะกังวลว่าปูนขาวอาจจะกัดฟางจนหมด แต่ความจริงแล้วปูนขาวช่วยให้ฟางแข็งตัว เหมืนกับการแข็งตัวของไม้หรือฟอสซิลกระดูกโบราณ แคลเซียมจะแทรกซึมเข้าไปในช่องว่าภายในเส้นใยของฟางและกลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ช่วยทำให้กลายเป็นวัสดุที่คงทนแข็งแรง

เมื่อผสมเสร็จแล้ว ส่วนผสมที่ได้ควรจะเหนียวพอที่จะติดกับเกรียงแม้จะคว่ำหน้าลง ถ้าผสมน้ำมากเกินไปจะทำให้เกิดรอยร้าวจากการหดตัวซึ่งจะทำให้ไม่แข็งแรง


การฉาบปูนขาวลงบนผนัง


ก่อนจะฉาบลงบนผนังดิน คุณควรทำผนังให้เปียกก่อน โดยไม่ต้องใช้ตะแกรงลวดกรงไก่ เพราะลวดกรงไก่จะลดการยึดเกาะระหว่างปูนขาวฉาบกับผนัง และทำให้เกิดช่องอากาศภายในซึ่งอาจทำให้ปูนฉาบแยกออกในภายหลัง


เมื่อฉาบบนผนังดิน เราอาจต้องเตรียมการซักเล็กน้อย ผนังดินนั้นควรต้องแห้งสนิท แล้วค่อยทำการพรมน้ำให้ชื้นก่นการฉาบปูนขาว โดยไม่ให้เปียกเกินไปจนมีน้ำไหลลงมาตามผนัง ทิ้งไว้ให้น้ำซึมลงไปในผนังประมาณ 1 - 2 นาที แล้วจึงเริ่มฉาบปูนขาว ก่อนที่จะทำการฉาบในแต่ละชั้นเราจะต้องพรมน้ำที่ผนังเสียก่อน


ระบบการฉาบ 3 ชั้น


โดยปรกติการฉาบปูนขาวมักจะทำการฉาบทั้งหมด 3 ชั้น โดยเริ่มจากการรองพื้น โดยปรกติแล้วมีความหนาประมาณ 3/8 - ½ นิ้ว ถ้าใช้เกรียงเมื่อฉาบเสร็จแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง ให้เราทำรอยขีดที่ผนัง แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2 อาทิตย์ก่อนที่จะฉาบผนังชั้นที่ 2 ไม่ว่าจะฉาบด้วยมือหรือเกรียง ราควรต้องทำให้ผนังชั้นแรกขรุขระพอที่จะยึดกับปูนขาวฉาบชั้นที่ 2


คุณควรจะต้องพรมน้ำผนังปูนขาวฉาบให้ชื้น 1 - 3 ครั้งต่อวันภายใน 1 - 2 อาทิตย์แรก ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในพื้นที่ร้อน ลมแรง และแห้งแค่ไหน อาจจะใช้น้ำประปาหรือน้ำที่ผสมปูนขาวเพื่อพรมบนผนัง น้ำที่ผสมปูนขาวนี้อาจมาจากน้ำที่มาจากถังที่แช่ปูนขาวข้น(น้ำใส ๆ ที่อยู่ด้านบน) หรือผสม ปูนขาวข้น 1 ถ้วยต่อน้ำ 5 ถัง น้ำปูนขาวนี้จะช่วยเร่งกระบวนการทำปฏิกิริยา เวลาทำต้องระวังไม่ให้น้ำปูนขาวกระเด็นโดนผิวหนังหรือตา


หรือเราอาจจะใช้ผ้าใบหรือผ้ากระสอบปิดล้อมรอบผนังเพื่อป้องกันลม อากาศแห้ง และแสงแดด


การฉาบชั้นที่สองเพื่ออุดช่องว่าง และทำให้ผนังเรียบมากขึ้น ชั้นที่สองไม่ควรฉาบหนามากเพราะจะทำให้ร่อน ผนังที่หนาเกินไปจะลดการทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อผนัง ถ้าคุณใช้ปูนขาวข้นผสมทรายโดยไม่ใส่สารเพื่อเร่งให้แห้งเร็ว ไม่ควรจะฉาบหนาเกิน 2 หุนครึ่ง (5/16 นิ้ว) หลังจากฉาบเสร็จให้รอซักระยะนึ่งก่นที่การฉาบอีกครั้งเพื่อกลบรอยแตกร้าว หลังจากการฉาบอีกครั้งควรใช้ฟองน้ำลูบ(โดยไม่ต้องชุบน้ำ)อีกครั้ง เพื่อทำให้ผนังหยาบและยึดเกาะกับการฉาบชั้นสุดท้าย


เมื่อฉาบเสร็จแล้วก็ควรรักษาผนังให้ชื้นเช่นเดียวกับการฉาบชั้นแรก ในช่วง 1 - 2 อาทิตย์แรก คุณอาจฉาบชั้นแรกด้วยดินก่อนการฉาบด้วยปูนขาว เพื่ออุดรอยร้าวหรือรอยยุบต่าง ๆ ควรรอให้ผนังดินแห้งสนิทก่อนฉาบปูนขาว ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาไปได้ประมาณ 1 - 2 อาทิตย์


การฉาบชั้นสุดท้าย ผสมปูนขาว 1.5 ส่วนต่อทรายละเอียด 2 - 3 ส่วน ไม่ควรฉาบหนากว่า 1 หุน ฉาบโดยใช้เกรีย แล้วรอให้แห้งซักพัก แล้วฉาบอีกครั้งเพื่อให้ปูนฉาบแน่นทำให้สามารถกันน้ำได้ดีขึ้น ฉาบโดยการกดเกรียงลงไปเล็กน้อยเพื่อพิ่มความแน่นของผนัง ถ้าผนังแห้งเกินไปอาจทำการพรมน้ำก่อนการฉาบ เกรียงที่ใช้ควรชุบน้ำด้วยเพื่อทำให้ฉาบได้ง่าย


ถ้าต้องการให้ผนังหยาบอาจใช้เกรียงไม้ หรือใช้ฟองน้ำ(แห้ง)ฉาบ


คุณสามารถใช้ปูนขาวฉาบลงบนสังกะสีหรือไม้ได้หลายวิธี อย่างเช่น ไม้อาจทาด้วยแป้งเปียกผสมน้ำและทรายก่อน แล้วค่อยฉาบปูนขาวลงไป


การทำสี


ปูนขาวฉาบจะมีสีขาวเมื่อแห้ง แต่การทำสีจะช่วยให้สวยงามมากขึ้น การทำสีอาจทำได้โดยผสมสีฝุ่นธรรมชาติในการฉาบชั้นสุดท้าย หรือโดยการผสมสีฝุ่นลงในน้ำปูนขาวก็ได้ คุณอาจต้องระวังในการเลือกสีที่เหมาะสมกับปูนขาว เพราะปูนขาวมีฤทธิ์เป็นเบส (ค่า pH สูง) ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับเม็ดสีที่มีค่าความเป็นกรด (ค่า pH ต่ำ) หรือสีบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับเกลือ หรือเหล็กในบรรยากาศ ซึ่งเป็นผลให้เม็ดสีบางชนิดไม่คงทนและซีดจางเมื่อผ่านไปนาน ๆ


โดยทั่วไป สีที่เป็นออกไซด์ของเหล็ก เช่นสีเหลือง, ส้ม แดง และน้ำเงินจะค่อนข้างคงทน (แต่สีน้ำเงิน Cobalt blue ค่อนข้างเป็นอันตราย) ส่วนสีท่มีส่วนผสมของทองแดงจะไม่ค่อยคงทนนัก


คุณควรปรึกษากับผู้ขายที่มีความรู้ และควรจะทำการทดสอบสีก่อนที่จะนำไปทาบนอาคารจริง การจะทดสอบว่าสีใดคงทน ควรทาทิ้งไว้ 6 เดือนเพื่อดูผล


การใช้เม็ดสีที่ผลิตจากสารเคมีสังเคราะห์ได้เหมือนกัน แต่ต้องระวังว่าเม็ดสีสังเคราะห์บางชนิดนั้นเป็นพิษและมีผลต่อสุขภาพ ถ้าจำเป็นจะต้องใช้ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ควรระวังด้วยว่า แม้แต่เม็ดสีธรรมชาติบางชนิดก็เป็นพิษเช่นเดียวกัน


ช่างบางคนอาจผสมเม็ดสีลงในปูนฉาบชั้นสุดท้าย ไม่ควรใส่ผงสีเกิน 3 % โดยน้ำหนัก เพราะจะทำให้ความแข็งแรงของผนังลดลงและมีผลต่อการแข็งตัว


ขั้นตอนการผสมควรผสมสีกับทรายก่อน แล้วจึงนำไปผสมกับปูนขาวข้นแล้วกวนให้เข้ากัน อาจผสมสีด้วยน้ำเล็กน้อยก่อนนำมาผสมปูนขาวข้น แล้วเติมทรายทีหลัง


การทาด้วยน้ำปูนขาว


การทาด้วยน้ำปูนขาวนี้เป็นที่นิยมในอดีตและยังคงมีการใช้กันอย่างแพร่หายเพื่อให้ได้พื้นผิวที่มีความด้าน น้ำปูนขาวเกิดจากการผสมน้ำกับปูนขาวข้น แล้วทาลงบนผนังเพื่อเพิ่มการป้องกันและช่วยอุดรอยร้าว ทำให้ผนังเรียบมากขึ้น โดยอาจผสมเม็ดสีเพื่อเพิ่มความสวยงาม


การทาด้วยน้ำปูนขาวจะช่วยให้ผนังทนทานมากขึ้นและช่วยป้องกันฝน ถ้าคุณวางแผนที่จะทาด้วยน้ำปูนขาว คุณควรทำพื้นผิวฉาบชั้นสุดท้ายให้ขรุขระเล็กน้อย เราอาจทาด้วยน้ำปูนขาวผสมสีหลาย ๆ ชั้นเพื่อให้สีมีความเข้มมากขึ้น หรืออาจทาลงบนปูนขาวฉาบชั้นที่สุดท้ายที่ผสมสีไว้แล้วก็ได้


คุณสามารถฉาบน้ำปูนขาวบนผนังดินเลยก็ได้ แต่ควรจะทดลองก่อนที่จะทาจริง เพื่อมั่นใจว่ามันจะได้ผลอย่างที่คุณต้องการ การทาน้ำปูนขาวลงบนผนังอาจทำให้ดูเลอะเทอะมากกว่าที่จะดูสวยงาม ถ้าต้องการให้ได้สีที่สวย คุณควรฉาบด้วยปูนขาวซัก 1 ชั้นก่อนทำการทาด้วยน้ำปูนขาว


น้ำปูนขาวนี้มีคุณประโยชน์หลายอย่าง นอกจากการระบายสี และช่วยป้องกันผนังจากสภาพดินฟ้าอากาศแล้ว ยังช่วยปกปิดร่อยรอยอันเกิดจากการฉาบที่ไม่พร้อมกัน(การฉาบแต่ละครั้งอาจผสมได้สีปูนขาวฉาบที่ต่างกันเล็กน้อย) เมื่อทาลงไปบนผนัง ปูนขาวฉาบจะทำปฏิกิริยาและช่วยปกปิดรอยร้าวบนผนัง ทำให้ผนังเรียบและคงทน ในขณะเดียวกันก็ยังคงระบายความชื้นได้ด้วย


วิธีการทำน้ำปูนขาว


น้ำปูนขาวทำจากปูนขาวข้นผสมน้ำ โดยเริ่มจากการผสมน้ำลงในปูนขาวข้น (น้ำ 1.5 ส่วนต่อปูนขาวข้น 2 ส่วน) จนได้ความเหนียวประมาณนมสด (สีที่ได้จะมีลักษณะกึ่งใส และอาจไม่ขาวเหมือนนมสด) แล้วนำไปเทผ่านตะแกรงเพื่อแยกปูนขาวส่วนที่จับตัวกันเป็นก้อนออก นำเม็ดสีผสมกับน้ำแยกไว้ต่างหาก แล้วจึงเทลงไปในน้ำปูนขาวแล้วคนให้ทั่ว


สัดส่วนในการผสมเม็ดสีนั้นค่อนข้างจะซับซ้อน เพราะเมื่อแห้งสีที่ได้จะอ่อนลงไปมาก คุณจึงควรทดลองทาบนผนังแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งก่อน ระวังว่าการผสมเม็ดสีมากเกินไปจะทำให้ความแข็งแรงลดลง และจำไว้ว่าถ้าคุณต้องการสีที่สด อาจจะต้องทาซ้ำหลายรอบ


เมื่อคุณเตรียมน้ำปูนขาวไว้พร้อมแล้ว ให้ทำการพรมน้ำบนผนังให้เปียกเท่า ๆ กัน ถ้าคุณทาลงบนผนังแห้ง น้ำจะถูกดูดออกไปทันที ทำให้การยึดเกาะไม่ดีเท่าที่ควร


โดยปรกติแล้วเราจะทาน้ำปูนขาวโดยใช้แปรงทาสี ไม่ควรทาเร็วมากเกินไป เพราะน้ำปูนขาวกระเด็นได้ง่าย จึงควรสวมเสื้อแขนยาว ถุงมือ และแว่นตา เพื่อป้องกันปูนกัด


ก่อนที่จะทาน้ำปูนขาว ไม่ว่าจะทาผนังใหม่หรือซ่อมแซมผนังเก่า คุณควรทำความสะอาดโดยการปัดฝุ่นและทรายที่ลอยออกมาก่อน แล้วจึงพรมน้ำบนผนังให้ชื้นด้วน้ำสะอาด จำไว้ว่าน้ำปูนขาวจะไม่ทึบและหนาเหมือนกับสีโดยทั่วไป ถ้าเราต้องการให้มันทึบอย่างที่เราต้องการอาจต้องทาซ้ำหลายรอบ ต้องการการทาแต่ละครั้งจะดูบางมาก เพื่อไม่ให้มันร่อนออกมา เมื่อน้ำปูนขาวแห้งมันจะดูทึบขึ้นเล็กน้อย โดยปรกติแล้วเราต้องทา 3 - 6 ชั้น ก่อนที่จะทาชั้นต่อไป เราต้องรอให้ชั้นก่อนหน้านั้นแห้งจนสนิท แล้วทำการพรมน้ำให้ชื้น


เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด คุณควรทำผนังให้เปียกทิ้งไว้หนึ่งวันก่อนทาน้ำปูนขาว แล้วก่อนทาสีให้พรมน้ำอีกครั้ง การทาแต่ละครั้งควรห่างกันหลาย ๆ วัน (แม้ว่ามันจะแห้งภายในวันเดียว แต่มันจะต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์กว่าจะแข็งแรงโดยสมบูรณ์)






ที่มา : www.glasswarechemical.com